การอาบน้ำร้อน น้ำอุ่น น้ำเย็น ให้อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญช่วยดูแลผิวให้มีสุขภาพดี
การอาบน้ำนอกจากจะช่วยเรื่องการชำระล้างสิ่งสกปรก แต่ยังช่วยคืนความสดชื่นให้กับร่างกายและสมอง นอกจากนี้น้ำยังช่วยดูแลผิวให้สุขภาพดีได้ด้วย เพราะฉะนั้นการอาบน้ำในอุณหภูมิที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ การอาบน้ำในอุณหภูมิที่ต่างกันจะให้ผลดีกับผิวต่างกันอย่างไร และอุณหภูมิน้ำแบบไหนที่ดีกับผิวบ้าง
การอาบน้ำร้อนจะต้องมีอุณหภูมิประมาณ 37-42 องศาเซลเซียส (ไม่ควรเกิน 42 องศาเซลเซียส) สำหรับน้ำร้อนอุณหภูมิ 42 องศาเซลเซียส เทียบได้กับการแช่ออนเซนของญี่ปุ่น โดยน้ำจะมีละอองไอน้ำบางๆ ลอยขึ้นมา ไอน้ำจะไม่หนาและเห็นเป็นสีขาวชัดเจนเหมือนน้ำเดือด อุณหภูมิระดับนี้จะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้ร่างกายตื่นตัว แต่ไม่ควรอาบหรือแช่น้ำร้อนเกิน 15 นาที เพราะอาจทำให้ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไปจนหน้ามืด เป็นลมได้ นอกจากนี้ยังทำให้ผิวแห้ง มีผื่นขึ้น ผิวเหี่ยว หรืออาจทำให้เลือดคั่ง ประสาทอ่อนล้า กระวนกระวาย ง่วงเหงา เมื่ออาบน้ำร้อนเสร็จควรอาบซ้ำด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน หรือจะทาครีมบำรุงผิวเติมความชุ่มชื้นเพื่อไม่ให้ผิวแห้งจนเกินไป
อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการอาบน้ำอุ่นอยู่ที่ 27-37 องศาเซลเซียส โดยน้ำอุ่นอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสจะเป็นความร้อนระดับเดียวกับอุณหภูมิในร่างกาย เมื่ออาบแล้วจะสบายตัว แม้จะอาบน้ำแช่นานๆ ก็จะไม่รู้สึกแสบผิว น้ำอุ่นจะช่วยให้ผิวขับของเสียที่คั่งค้างออกมาได้มากขึ้น ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยลดอาการมือเท้าเย็น บวม เส้นเลือดขอด และช่วยลดความเครียดได้ การแช่น้ำอุ่นเหมาะสำหรับคนที่นอนไม่ค่อยหลับ เพราะน้ำอุ่นจะไปเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายทำให้รู้สึกสบายตัว หลับได้ง่ายและนานขึ้น
การอาบน้ำเย็นควรอาบที่อุณหภูมิต่ำกว่า 27 องศาเซลเซียส เป็นความเย็นที่พอเหมาะที่จะไม่ทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อนจนผิวซีด เล็บมือไม่เขียวคล้ำ ผิวนิ้วไม่เหี่ยว และไม่เย็นจนตัวสั่นปากสั่น การอาบน้ำเย็นช่วยทำให้กล้ามเนื้อตื่นตัวได้ดี เพราะเลือดจะมาเลี้ยงผิวหนังได้มากขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อตื่นตัวก็ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น ขณะเดียวกัน งานวิจัยในต่างประเทศยังพบว่า การอาบน้ำเย็นจะช่วยลดความรู้สึกซึมเศร้า อาการหดหู่ได้ด้วย นอกจากนี้หลังอาบน้ำเย็นแล้วควรทาครีมบำรุงผิวเพื่อป้องกันผิวแห้งแตก เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวสุขภาพดี
Advertisement