วันอัลไซเมอร์โลก ตรงกับทุก ๆ วันที่ 21 กันยายน ของทุกปี โรคอันตรายที่เป็นหนึ่งในสาเหตุภาวะสมองเสื่อม พบบ่อยในผู้สูงอายุ ร่วมตระหนักถึงความสำคัญ และเข้าใจถึงภัยเงียบของโรคนี้
อัลไซเมอร์ โรคในกลุ่มภาวะสมองเสื่อม หนึ่งในปัญหาสุขภาพของผู้สูงอายุ ที่พบเป็นจำนวนมากในประเทศไทย ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นราว 55 ล้านคน และมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกปี องค์การอัลไซเมอร์ระหว่างประเทศ (Alzheimer's Disease International : ADI) จึงได้ประกาศให้ทุกวันที่ 21 กันยายน ของทุก ๆ ปี เป็น "วันอัลไซเมอร์โลก" โดยมีจุดประสงค์เพื่อรณรงค์ ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญ และเข้าใจถึงภัยเงียบของโรคนี้มากขึ้น
โรคอัลไซเมอร์ ถือเป็นโรคที่ได้พบได้บ่อย กว่า 600,000-700,000 รายในประเทศไทย ที่มีภาวะสมองเสื่อม โดยส่วนใหญ่จะมีปัญหาสำคัญอย่างการหลงลืม จำบุคคลหรือสถานที่ไม่ได้ มีอาการหลงทิศทาง อีกทั้งในสมัยก่อน สามารถประเมินอาการได้อย่างแน่ชัด คือการตรวจชิ้นเนื้อสมองหลังจากการเสียชีวิตแล้วเท่านั้น และยาที่ใช้รักษาเป็นเพียงการประคองอาการไม่ให้ทรุดไปมากกว่าเดิม ยังไม่พบแนวทางที่รักษาที่สามารถหายขาดได้
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีข้อมูลที่ระบุการค้นพบว่า โรคอัลไซเมอร์เกิดจากการสะสมของโปรตีนที่ผิดปกติในสมอง ได้แก่ โปรตีนอะไมลอยด์เบต้าและโปรตีนเทาว์ นำสู่การค้นพบวิทยาการใหม่ การวินิจฉัยปัจจุบันมีการส่งตรวจพิเศษ เพื่อแยกโรคสมองเสื่อมอื่น และได้มีการพัฒนาชุดตรวจและเครื่องมือ ที่ทำให้ทราบความแม่นยำเพิ่มขึ้น มากกว่าร้อยละ 90 อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการประเมินผลดีของยาระยะยาว
อีกทั้งในช่วงสามปีให้หลัง ในอเมริกาและยุโรป ได้มีการรับรองชุดตรวจในเลือดเพื่อใช้ในการวินิจฉัย สามารถใช้การเจาะเลือด 3-5 ซีซี ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้ และยังพัฒนาเครื่องมือตรวจให้ใช้สะดวกมากขึ้น ในรูปแบบของแผ่นตรวจสำเร็จรูป โดยหยดเลือดลงไปในแผ่นตรวจ ก็อาจจะสามารถตรวจจับโปรตีนเหล่านี้ได้ แบบเดียวกับการใช้ชุดตรวจโควิด โดยอยู่ในขั้นตอนการศึกษาทดลอง
โรคอัลไซเมอร์ คืออะไร
โรคอัลไซเมอร์ หรือ Alzheimer Disease เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการถดถอย ของการทำงานหรือโครงสร้างสมอง เกิดจากการที่โปรตีนที่เรียกว่า เบต้า-อะไมลอยด์ (beta-amyloid) ซึ่งเป็นผลจากของเสียที่เกิดจากการสันดาปของเซลล์ มีการตกตะกอนและไปจับกับเซลล์สมอง เส้นใยที่เชื่อมต่อสมอง รวมถึงเซลล์พี่เลี้ยงของสมอง ส่งผลให้เกิดความเสียหายและนำมาสู่การตายของเซลล์สมอง ทำให้สมองเสื่อมและฝ่อลง จนเกิดการสูญเสียเนื้อสมองในที่สุด
โรคอัลไซเมอร์เป็นหนึ่งในกลุ่มของโรคสมองเสื่อม (Dementia) ที่พบได้บ่อยที่สุด คิดเป็น 60-80% ของกลุ่มผู้ที่เป็นโรคสมองเสื่อม ปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มากขึ้น เนื่องมาจากการมีอายุที่ยืนยาวขึ้นและปัจจัยด้านอื่น ทั้งนี้ ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานจำนวนผู้ป่วยที่แน่ชัด
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์
1. ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
อันดับแรกที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ขั้งพื้นฐานคืออายุ ที่เมื่อมีอายุมากกว่า 65 ปี เป็นต้นไป จะมีอาการสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นในทุก ๆ 5 ปี อีกทั้งหากครอบครัวมีประวัติโรคความจำเสื่อม อาจเป็นปัญหาที่เกิดจากกรรมพันธุ์ นอกจากนี้ยังพบว่าในเพศหญิง มีโอกาสที่จะป่วยในโรคอัลไซเมอร์ได้มากกว่าเพศชาย
2. ปัจจัยที่เกิดขึ้นภายหลัง
เป็นส่วนส่งเสริมให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ โดยปัจจัยเสี่ยงหรือโรคดังกล่าว ส่งผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ทำให้เนื้อสมองมีความเสียหายมากขึ้น อาทิ โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, โรคอ้วน, การสูบบุหรี่ รวมถึงการไม่ออกกำลังกาย ก็เป็นปัจจัยที่อาจทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้เช่นกัน โดยเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีอาการป่วยโรคดังกล่าว ผู้ป่วยในโรคข้างต้นจะมีความเสี่ยงมากกว่า
3. ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมและทางกายภาพอื่น
อาทิ ระดับการศึกษา, ภาวะซึมเศร้า, ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง, การนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพ และการมีประวัติอุบัติเหตุทางสมอง โดยโรคต่าง ๆ หรือภาวะอื่นที่เกิดขึ้นกับร่างกายทำให้เสี่ยงมากกว่า เนื่องจากขาดการทำงานของสมองในหลาย ๆ ด้าน รวมไปถึงหากเกิดอุบัติเหตุทางสมอง จะส่งผลที่ทำให้เซลล์สมองได้รับความเสียหาย
อาการของโรคอัลไซเมอร์
สำหรับอาการของโรคอัลไซเมอร์ ที่นอกเหนือจากปัญหาเรื่องความจำ ที่เป็นจุดเด่นต่อการสังเกตุโรค ยังมีอาการอื่นที่แตกต่างไปในผู้ป่วย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาการที่จะกล่าวถึงนี้ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และการเข้าสังคมของผู้ป่วยด้วย ได้แก่
ซึ่งอาการป่วยเหล่านี้ยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ อันได้แก่
กิจกรรมยามว่าง ที่ส่งผลดีต่อสมอง
ข้อมูลจาก BDMS Wellness Clinic ระบุว่า งานวิจัยที่รวบรวม 38 งานวิจัยแบบระยะยาว ที่มีผู้เข้าร่วมวิจัยกว่า 2.1 ล้านคน ให้ข้อสรุปไว้ว่า การทำกิจกรรมยามว่างต่าง ๆ จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคสมองเสื่อมได้สูงถึง 20% โดยมีหลักฐานที่บ่งชี้ว่า การทำให้สมองได้รับการกระตุ้นอยู่เสมอ คือวิธีป้องกันไม่ให้ตัวเองเข้าข่ายภาวะสมองเสื่อม
กล่าวคือ การหากิจกรรมยามว่าง หรืองานอดิเรกที่ทำเป็นประจำ จะช่วยกระตุ้นให้สมองเกิดการคิดหรือทำงานอยู่เสมอ เป็นสาเหตุที่ช่วยป้องกันการเสื่อมถอยของการทำงานสมอง โดยมีกินกรรม 3 ประเภทที่ส่งผลดีต่อสมอง ได้แก่
การฝึกสมองช่วยรักษาทักษะต่าง ๆ เช่น ความจำ ความคิด และการใช้เหตุผล กิจกรรมเหล่านี้ช่วยรักษาสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) และฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซึ่งเป็นสองส่วนแรก ที่เกิดผลกระทบในระยะเริ่มต้นของภาวะสมองเสื่อม อาทิ การอ่านหนังสือ ฝึกเขียนตัวอักษร การเขียนหนังสือ เล่นเกมปริศนา ฝึกดนตรี วาดรูป หรือทำงานฝีมือ จะช่วยลดความเสี่ยงได้ 23%
การออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยเรื่องการเชื่อมต่อของเซลล์สมอง และชะลอการลดลงของความจำ เพราะการทำกิจกรรมทางกาย มีความสัมพันธ์กับระดับเบต้า-อะไมลอยด์ และโปรตีนเทาว์ที่ลดลงในสมอง ตัวอย่างเช่น การเดินออกกำลังกาย วิ่ง ว่ายน้ำ โยคะ หรือเต้น จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมได้ถึง 17%
กิจกรรมทางสังคมที่ได้ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น (Social Activity) หรือ การเข้าสังคมหรือติดต่อกับผู้อื่น รวมถึงรู้สึกถึงความรักและห่วงใยจากผู้อื่น จะช่วยให้บุคคลลดการเกิดโรคซึมเศร้า และการเกิดความเครียดในร่างกาย ซึ่งส่งผลดีต่อการทำงานของสมอง ซึ่งในข้อนี้รวมไปทั้งการเข้าร่วมคลาสเรียนกับผู้คนจำนวนมาก การไปทำงานอาสาสมัคร การเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนา การได้เจอเพื่อนหรือครอบครัวเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการสมองเสื่อมได้ถึง 7%
กิจกรรมต่าง ๆ ไม่เพียงแต่จะช่วยชะลอและป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ หรือภาวะสมองเสื่อมอื่น แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพของตนเองในด้านอื่น ๆ เช่น ลดความเสี่ยงมะเร็ง การเต้นของหัวใจผิดปกติลดลง และเพิ่มการรับรู้ความเป็นอยู่ที่ดี การได้ขยับร่างกายอยู่เสมอ หรือการได้ทำกิจกรรมที่ชื่นชอบเป็นประจำ จะช่วยลดความเครียดที่จะเสี่ยงต่อการคิดมาก อันเป็นต้นเห็นของการทำงานสมองที่จะลดลงได้ด้วย
เพราะการป่วยอัลไซเมอร์ไม่ใช่เรื่องแค่อาการหลงลืม แต่คือการสูญเสียความทรงจำ ที่ในขั้นต้นอาจเป็นเพียงอาการระยสั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ป่วยกว่าร้อยละ 80-90 จะเริ่มมีอาการทางพฤติกรรมหรืออาการทางจิตเวชร่วมด้วย ที่เป็นต้นเหตุที่สามารถดูแลผู้ป่วยได้ยากขึ้น
สำหรับผู้ที่สงสัยว่ามีญาติหรือผู้ใกล้ชิด มีความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ สามารถไปรับการตรวจเบื้องต้นที่ คลินิกผู้สูงอายุสถานพยาบาลใกล้บ้าน กรณีที่ตัวโรคมีความซับซ้อน จะมีการส่งตัวผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลในระดับที่สูงกว่าตามความเหมาะสม
ที่มา : BDMS Wellness Clinic (bdmswellness.com) / กรมประชาสัมพันธ์ (prd.go.th) / Alzheimer's Disease International (alzint.org)
Advertisement