ไหว้พระปี 2568 ปีมะเส็ง เปิด 10 พิกัด วัดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ไหว้พระเสริมสิริมงคล รับสิ่งดีๆ ปีใหม่
ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่เข้ามา เวียนครบจบศักราช 2567 เริ่มต้นศักราชใหม่ปี 2568 หลายคนอาจอาศัยช่วงวันหยุดยาวปีใหม่พักผ่อน ท่องเที่ยวกับครอบครัว หรือเดินสายทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคล
อมรินทร์ทีวี ออนไลน์ รวมพิกัดวัดในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อให้เหล่าสายบุญเก็บไว้เป็นลิสต์ในการทำกิจกรรมดีๆ เป็นมงคลเนื่องในวันปีใหม่
1.วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
2.วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)
3.วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร
4.วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
5.วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
6.วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร
7.วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
8.วัดปากน้ำภาษีเจริญ
9.วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
10.วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
เป็นที่ประดิษฐานพระมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) และเป็นที่ประกอบพระราชพิธีที่สำคัญทางศาสนา เป็นพระอารามหลวงอยู่ตรงมุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือของพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ประดิษฐานพระมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) และเป็นที่ประกอบพระราชพิธีที่สำคัญทางศาสนา วัดพระแก้วสร้างแล้วเสร็จปี พ.ศ. 2327 และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 9 ตลอดทุกรัชกาล ภายในพระอุโบสถและระเบียงรอบวัดมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง เรื่อง “รามเกียรติ์” ซึี่งสวยงามมาก สิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ ภายในวัด ได้แก่ พระปรางค์แปดองค์ พระศรีรัตนเจดีย์ปราสาท นครวัดจำลอง ปราสาทพระเทพบิดร ฯลฯ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.30-15.30 น. ค่าเข้าชม ชาวไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 500 บาท
ประวัติพระมหามณีรัตนปฏิมากร
เดิมองค์พระพอกปูนหุ้มไว้อยู่ในวัดพระแก้ว เมืองเชียงรายตั้งแต่ พุทธศักราช 1979 เมื่อปูนกระเทาะพบพระแก้วมรกตอยู่ภายในได้อัญเชิญไป ประดิษฐาน ณ เมืองสำคัญในล้านนาและล้านช้าง เมืองลำปาง เชียงใหม่ เมืองหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และพุทธศักราช 2321 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬโลกมหาราช เมื่อดำรงตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเป็นแม่ทัพจัดความเรียบร้อย เมืองเวียงจันทน์ ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมากรุงธนบุรีด้วย ประดิษฐานในอาคารชั่วคราวใกล้พระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร ทรงจัดพิธีสมโภชเป็นเวลา 3 วัน
พุทธศักราช 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จปราบดาภิเษก ได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อสร้างพระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว จึงอัญเชิญพระแก้วมรกต มาประดิษฐาน เป็นพระพุทธปฏิมาประธาน ถวายนามว่า พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เมื่อพุทธศักราช 2327 เป็นพระพุทธปฏิมาสำคัญคู่บ้านคู่เมือง ประดิษฐานเป็นประธานในพระราชพิธีสำคัญทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์และบ้านเมืองตั้งแต่บัดนั้นตราบปัจจุบัน พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงทำนุบำรุงและถวายสักการะอย่างยิ่งใหญ่ ได้สร้างเครื่องทรงสำหรับ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาวถวาย มีพระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงกำหนดไว้ประจำ
การพระราชพิธีเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เช่น จารึกพระสุพรรณบัฏ พระราชลัญจกร ประกาศพระองค์เป็นพุทธมามกะ การถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาและพระราชพิธีประจำแต่ละรัชกาล ล้วนประกอบพิธีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เบื้องพระพักตร์แห่งพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรทั้งสิ้น
เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม
อยู่ที่ถนนมหาราช ข้างพระบรมมหาราชวัง เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดเก่าแก่ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม วัดนี้เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 เมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะวัดโพธิ์ใหม่ทั้งหมด และนำตำราวิชาการด้านต่าง ๆ มาจารึกไว้โดยรอบ เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชน ถือว่าวัดโพธิ์เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย นอกจากนี้ วัดโพธิ์มีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ก่ออิฐถือปูนปิดทองทั้งองค์ ยาว 46 เมตร สูง 15 เมตร ที่ฝ่าพระบาทแต่ละข้างมีลวดลายประดับมุกเป็นภาพมงคล 108 ประการ อันเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของมหาบุรุษตามคติของอินเดีย เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น. ค่าเข้าชม ชาวไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 200 บาท
เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวิหาร สถาปัตยกรรมแบบไทยผสมจีนเคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ขณะทรงผนวชในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7 และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9
อยู่ที่ถนนพระสุเมรุ แขวงบวรนิเวศ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวิหาร สถาปัตยกรรมแบบไทยผสมจีน สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2367-2375 ในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยมีกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพทรงเป็นแม่กองก่อสร้าง และเคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ขณะทรงผนวชในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7 และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดนี้ ได้แก่ พระอุโบสถ สร้างตามแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 มีมุขหน้ายื่นออกมาเป็นพระอุโบสถ และมีปีกยื่นออกซ้ายขวา เป็นวิหารมุขหน้า ที่เป็นพระอุโบสถ มีเสาเหลี่ยมมีพาไลรอบซุ้มประตูและหน้าต่าง หน้าบันประดับด้วยลายปูนปั้น สถานที่แห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ 2 องค์ ซึ่งเป็นพระประธาน คือ พระพุทธสุวรรณเขต (หลวงพ่อโต) ที่อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี และพระพุทธชินสีห์ อัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหารเป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาท สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงเคยผนวช ณ วัดแห่งนี้ พระเจดีย์ทอง เจดีย์ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ถัดจากพระอุโบสถ ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่องค์พระเจดีย์มีซุ้มเป็นทางเข้าสู่คูหา 4 ซุ้ม ตรงกลางประดิษฐานพระเจดีย์กาไหล่ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และมีพระเจดีย์ประดิษฐานอยู่โดยรอบพระเจดีย์กาไหล่ทองอีก 4 องค์ คือ พระไพรีพินาศเจดีย์ พระเจดีย์บรมราชานุสรณ์พระชนมพรรษา 5 รอบ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระเจดีย์ไม้ปิดทอง พระเจดีย์โลหะปิดทอง เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.
อยู่ที่ถนนเฟื่องนคร เป็นวัดที่มีเสมาขนาดใหญ่ทำเป็นเสาศิลาสลักรูปเสมาธรรมจักรอยู่บนเสาตั้งอยู่ที่กำแพงวัดทั้ง 8 ทิศ บริเวณวัดนี้เดิมเป็นวังของพระบรมวงศ์เธอกรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม อยู่ที่ถนนเฟื่องนคร เป็นวัดที่มีเสมาขนาดใหญ่ทำเป็นเสาศิลาสลักรูปเสมาธรรมจักรอยู่บนเสา อยู่ที่กำแพงวัดทั้ง 8 ทิศ บริเวณวัดเดิมเป็นวังของพระบรมวงศ์เธอกรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ วัดราชบพิธฯ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2412 (สมัยรัชกาลที่ 5) เสร็จในปี พ.ศ. 2413 โดยนิมนต์พระสงฆ์จากวัดโสมนัสวรวิหารมาจำพรรษา พร้อมอัญเชิญ พระพุทธนิรันตราย มาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ ศิลปกรรมที่สำคัญในวัด ได้แก่ บานประตูและหน้าต่างของพระอุโบสถที่มีลายไทยลงรักประดับมุกเป็นรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่าง ๆ สวยงามมา
วัดสุทัศน์เทพวราราม อยู่ที่ถนนบำรุงเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 มีพระราชประสงค์สร้างพระวิหารให้มีขนาดใหญ่เท่ากับพระวิหารวัดพนัญเชิง ให้เป็นศรีสง่าแก่พระนคร พระราชทานนามว่า วัดมหาสุทธาวาส แต่สร้างยังมิทันสำเร็จได้เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงดำเนินงานต่อ และพระราชทานนามว่า วัดสุทัศน์เทพวราราม สร้างเสร็จสมบูรณ์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว วัดสุทัศน์ไม่มีเจดีย์เหมือนวัดอื่น ๆ เพราะมีสัตตมหาสถานเป็น อุเทสิกเจดีย์ (คือต้นไม้สำคัญในพุทธศาสนา 7 ชนิด) แทนที่
สิ่งที่น่าสนใจในวัดได้แก่ พระศรีศากยมุนี (หลวงพ่อโต) พระประธานของวัดที่ได้ชะลอมาจากวิหารหลวงวัดมหาธาตุเมืองสุโขทัย และบานประตูพระวิหาร ซึ่งเป็นศิลปกรรมชั้นเยี่ยมทางด้านการแกะสลักในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะคู่ที่เป็นฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้นำไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร - เสาชิงช้า อยู่ใกล้วัดสุทัศน์เทพวราราม การสร้างเสาชิงช้านี้มีที่มาจากการที่วัฒนธรรมของชาวไทยมีวิถีของศาสนาพราหมณ์เข้ามาเกี่ยวพันอยู่มาก เมื่อสร้างกรุงเทพฯ เสร็จจึงมีการสร้างโบสถ์พราหมณ์ และเสาชิงช้า เดิมตั้งอยู่ริมถนนบำรุงเมือง ทางที่เลี้ยวไปถนนดินสอ มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2327 และย้ายมาตั้งที่ถนนบำรุงเมืองในปัจจุบันเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 บริษัท หลุยส์ ที.เลียวโนแวนส์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าไม้ได้อุทิศซุงไม้สักเพื่อสร้างเสาชิงช้าใหม่ สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2463 ทำการซ่อมแซมเมื่อปี พ.ศ. 2548 มีส่วนสูง 21 เมตร เสาชิงช้านี้ใช้ประกอบ พิธีตรียัมพวาย หรือ พิธีโล้ชิงช้าของศาสนาพราหมณ์ จัดในเดือนยี่ของทุกปี และยกเลิกเมื่อปี พ.ศ. 2478
ตั้งอยู่ที่ถนนศรีอยุธยาเขตดุสิต เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาขึ้น โดยมีสมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้างศิลปะ สถาปัตยกรรมไทยโบราณที่มีความวิจิตรงดงามและเป็นระเบียบ ได้รับการยกย่องว่าเป็นวัดที่มีการวางแปลนแผนผังที่ดีที่สุดวัดหนึ่ง ทั้งยังประดับด้วยหินอ่อนที่ดีที่สุดจากประเทศอิตาลี เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในชื่อ "Marble temple" พระประธานของวัดจำลองมาจากพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก บริเวณพระระเบียงด้านหลังพระอุโบสถเรียงรายด้วยพระพุทธรูปโบราณปางต่าง ๆ 52 องค์ ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงรวบรวมมาจากหัวเมืองต่าง ๆ และต่างประเทศ
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร (Wat Benchamabophit) เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ออกแบบ และมีพระยาราชสงคราม (กร หงสกุล) เป็นนายช่างก่อสร้าง จึงถือได้ว่าเป็นการก่อสร้างศิลปะสถาปัตยกรรมไทยโบราณที่มีความวิจิตรงดงามและเป็นระเบียบ จนได้รับการยกย่องว่า เป็นวัดที่มีการวางแปลนแผนผังที่ดีที่สุดวัดหนึ่ง ทั้งยังประดับด้วยหินอ่อนที่ดีที่สุดจากประเทศอิตาลี เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในชื่อ "Marble temple" สถาปัตยกรรมที่สำคัญภายในวัด พระพุทธชินราช (จำลอง) พระประธานของวัด จำลองมาจากพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก พระอุโบสถ ประดับตกแต่งด้วยหินอ่อนทั้งหลัง อาคารทรงจัตุรมุข หลังคาซ้อนกัน 5 ชั้น มุงกระเบื้องกาบูสีเหลือง ลักษณะเป็นกาบโค้ง พระพุทธรูปโบราณปางต่าง ๆ จำนวน 52 องค์
บริเวณพระระเบียงด้านหลังพระอุโบสถ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงรวบรวมมาจากหัวเมืองต่าง ๆ และต่างประเทศ ศาลาสี่สมเด็จ เป็นแบบจัตุรมุข หน้าบันจำหลักลายและตราต่าง ๆ ทั้ง 4 ด้าน พระระเบียงคด พื้นระเบียงปูหินอ่อน เสากลมหินอ่อนทั้งแท่ง 64 ต้น เสาเหลี่ยมประกบแผ่นหินอ่อน 28 ต้น ปลายเสาปั้นบัวปิดทองประดับกระจก พระที่นั่งทรงผนวช เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงผนวชใน พ.ศ. 2416 พระที่นั่งทรงธรรม สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา โปรดให้สร้างเพื่ออุทิศถวายเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระวิหาร ส.ผ. สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นหอพระธรรมมีชื่อว่า หอสมุดพุทธสาสนสังคหะ ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธนรสิงห์จำลอง พระฝาง และพระพุทธรูปโบราณต่าง ๆ หอระฆังบวรวงศ์ เป็นหอสูง ประดับดัวยแผ่นหินอ่อน ที่ตั้ง : 9 ถนนนครปฐม แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300 สถานที่สำคัญใกล้เคียง : พระบรมรูปทรงม้า พระที่นั่งอนันตสมาคม สวนสัตว์ดุสิต ค่าเข้าชม : ชาวต่างชาติ 50 บาท
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์
ตั้งอยู่ที่ถนนอรุณอัมรินทร์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี ตรงข้ามกับวัดโพธิ์ เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อว่าวัดแจ้ง ต่อมาเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยามาตั้ง ณ กรุงธนบุรี ได้โปรดเกล้าฯ กำหนดให้วัดแจ้งเป็นวัดในเขตพระราชฐาน และสถาปนาเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ วัดนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 2 จึงถือเป็นวัดประจำรัชกาล เมื่อบูรณะแล้วเสร็จได้พระราชทานนามว่าวัดอรุณราชธาราม ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการก่อสร้างพระปรางค์องค์ใหญ่ ความสูง 82 เมตร กว้าง 234 เมตร เสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 4 และได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดอรุณราชวราราม ดังที่เรียกในปัจจุบันนี้ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น. ค่าเข้าชม คนไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 100 บาท สอบถามข้อมูล โทร. 0 2891 2185
วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นวัดเก่าแก่ก่อตั้งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง ตั้งอยู่บริเวณปากคลองด่านเชื่อมกับคลองบางกอกใหญ่จึงเรียกกันว่า วัดปากน้ำ
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ แต่ยังให้คงรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยาไว้ และได้บูรณปฏิสังขรณ์อีกครั้งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในสมัยพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 วัดปากน้ำไม่ได้รับการดูแลเนื่องจากไม่มีเจ้าอาวาส ทางเจ้าคณะอำเภอส่งหลวงพ่อสด จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามมาเป็นเจ้าอาวาสในปี พ.ศ. 2459 หลวงพ่อสดได้ทำให้วัดปากน้ำกลายเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติธรรม มีภิกษุ สามเณร รวมถึงประชาชนได้เข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดเป็นจำนวนมากสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน หลวงพ่อสดมรณภาพเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 แต่สังขารยังถูกเก็บไว้ ณ หอสังเวชนีย์มงคลเทพนิรมิต วัดปากน้ำภาษีเจริญ และยังเปิดให้ประชาชนสามารถเข้าไปสักการะได้
สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่ พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล ใช้ระยะเวลาสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2547 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2555 เจดีย์เป็นศิลปะรัตนโกสินทร์และล้านนาประยุกต์เข้าด้วยกัน ฐานของเจดีย์ได้ต้นแบบมาจากวัดโลกโมฬี จังหวัดเชียงใหม่ มีความสูงออกเป็นชั้น ถึง 5 ชั้นด้วยกัน โดยแต่ละชั้นจะจัดแสดงแตกต่างกันไป ในส่วนของชั้นที่ 1 จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ผู้มีจิตศรัทธานำมาบริจาค เช่น รถเก่า จักรเย็บผ้า พระพุทธรูปแกะสลัก ถ้าเพื่อน ๆได้มาที่นี่จะสังเกตเห็นตาลปัตรโชว์อยู่รอบเจดีย์ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของพิพิธภัณฑ์ ชั้น 2 เป็นห้องปฏิบัติธรรม ต่อมาชั้นที่ 3 เป็นพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) จัดแสดงเครื่องใช้ของส่วนตัวและของที่ลูกศิษย์นำมาถวาย ชั้นที่ 4 เป็นห้องประดิษฐานพระทองคำรูปเหมือนหลวงพ่อสด และบูรพาจารย์ท่านอื่น ๆ ชั้นที่ 5 ประดิษฐาน เจดีย์แก้วมรกต ภายในบรรจุพระบรมสารีริกราตุ มีเพดานเป็นทรงโดมระบายด้วยภาพวาดจิตรกรรมเป็นจักรวาล
และอีกไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้ คือ พระพุทธธรรมกายเทพมงคล เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิหน้าตักกว้าง 40 เมตร สูง 69 เมตร ประดิษฐานเจดีย์พระมหาเจดีมหารัชมงคล สร้างขึ้นตามนิมิตของหลวงพ่อสดซึ่งท่านเห็นลักษณะของพระพุทธรูปนี้ในขณะที่กำลังเจริญสมาธิกรรมฐานนอกจากจะสร้างเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา ยังสร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชลกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดซมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น.
วัดสระเกศ หรือ วัดภูเขาทอง (temple of the Golden Mount Bangkok) เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย มีจุดเด่นคือ พระบรมบรรพต หรือที่เรียกกันว่าภูเขาทอง
อยู่ใกล้แยกผ่านฟ้าลีลาศ ถนนหลานหลวง ในอดีตคือนอกกำแพงเมือง ริมคลองมหานาค บริเวณที่บรรจบกับคลองบางลำพูเดิม เป็นวัดโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรมหาวิหาร แต่เดิมชื่อว่าวัดสะแก ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่ ทั้งพระอารามในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และพระราชทานนามใหม่ว่าวัดสระเกศ ส่วนเจดีย์ภูเขาทองเริ่มสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงนำแบบมาจากภูเขาทองในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ก่อสร้างแล้วเสร็จในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่าสุวรรณบรรพต มีความสูง 77 เมตร บนยอดสุวรรณบรรพตเป็นที่ตั้งพระเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอันได้รับจากประเทศอินเดีย ซึ่งขุดจากเนินพระเจดีย์เก่าในเมืองกบิลพัสดุ์ เป็นปูชนียสถานและสัญลักษณ์อยู่คู่วัดสระเกศ อีกทั้งยังถือเป็นสะดือเมือง ในทุก ๆ ปี ช่วงเทศกาลลอยกระทงจะมีงานเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน กลายเป็นประเพณีนมัสการพระบรมสารีริกธาตุสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน อันเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์และเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมือง เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 07.00-19.00 น. ค่าเข้าชม คนไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 50 บาท
ตั้งอยู่ทางฝั่งธนบุรี เดิมชื่อว่าวัดบางหว้าใหญ่ เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรมหาวิหาร ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในครั้งสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสร้างพระราชวังใกล้วัดบางหว้าใหญ่ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ และยกเป็นพระอารามหลวง เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชในสมัยรัตนโกสินทร์ และยังเป็นที่ประชุมสังคายนาพระไตรปิฎก ซึ่งอัญเชิญมาจากนครศรีธรรมราชอีกด้วย
สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่ ตำหนักแดง ลักษณะเป็นเรือนไม้สัก ฝาปะกน เชื่อกันว่าเคยเป็นตำหนักสำหรับทรงกรรมฐานของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ภายในพระตำหนักมีหลักฐานที่ใช้อ้างอิง คือ ฝาประจันกั้นห้องภายในตำหนักเดิม ภาพเขียนรูปอสุภชนิดต่าง ๆ อีกทั้งภาพพระภิกษุเจริญกรรมฐาน ซึ่งสอดคล้องกันกับพระอุปนิสัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แต่ปัจจุบันภาพเหล่านี้แทบจะไม่เหลือร่องรอยที่ยังปรากฏให้เห็น รวมทั้งสถาปัตยกรรมไทยที่งดงามอย่างมาก คือ หอพระไตรปิฎก ลักษณะเป็นเรือนแฝดสามหลัง สร้างขึ้นจากไม้ที่รื้อจากพระตำหนักและหอนั่งเดิมของรัชกาลที่ 1 เมื่อครั้งยังทรงรับราชการอยู่ในกรุงธนบุรี ชายคาเป็นรูปเทพนมเรียงรายเป็นระยะ ฝาผนังด้านนอกทาสีดินแดง ภายในมีตู้พระไตรปิฎกขนาดใหญ่เขียนลายรดน้ำ ประดิษฐานอยู่ที่หอด้านเหนือและหอด้านใต้ ด้านในเป็นภาพเขียนฝีมืออาจารย์นาคที่บอกเล่าถึงวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยกรุงธนบุรี เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น.
ข้อมูลอ้างอิงจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
Advertisement