Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เจาะลึก Van Cleef & Arpels สุดยอดหัตถศิลป์ ชนะ 3 รางวัลนาฬิการะดับโลก!

เจาะลึก Van Cleef & Arpels สุดยอดหัตถศิลป์ ชนะ 3 รางวัลนาฬิการะดับโลก!

11 ธ.ค. 67
16:28 น.
|
206
แชร์

Amarin Online พาไปเจาะลึก Van Cleef & Arpels ความเป็นเลิศทางเทคนิคหัตถศิลป์ของเมซง จนคว้ารางวัลสุดยอดนาฬิกากลไกสลับซับซ้อนสำหรับสตรี ด้วยกันถึง 3 สาขา จากงาน Grand Prix d’Horlogerie de Genève (กรองด์ ปรีซ์ ดอรลอเชรี เดอ เชอแนฟว) ปี 2024

นาฬิกาข้อมือ เลดี อารเปลส์รุ่น “เสน่ห์ทิวา” หรือ Lady Arpels Jour Enchanté (เลดี อารเปลส์ ฌูร็องชองเต) ได้รับรางวัลสุดยอดหัตถศิลป์นาฬิกาข้อมือ Artistic Crafts Watch Prize

นี่คือรางวัลอันทรงเกียรติสำหรับนาฬิกาข้อมือซึ่ง แสดงให้ประจักษ์ถึงความเป็นเลิศเหนือชั้นทางเทคนิคหัตถศิลป์แขนงใดแขนงหนึ่ง หรือหลายแขนง อาทิงานลงยา, งานลงรักเคลือบเงา, งานแกะสลัก, งานสลักลายรัศมีตะวันกวิโญเช (guilloche), ระบบโครงสร้างภายใน และอื่นๆ อีกมากมาย

นาฬิกาข้อมือ “เสน่ห์ทิวา” Lady Arpels Jour Enchanté รวมความเป็นเลิศเชิงเทคนิคและหัตถศิลป์งานฝีมือ เพื่อถ่ายทอดทัศนียภาพสุดวิจิตรตระการตาลงสู่หน้าปัด ภายในตัวเรือนขนาด 41 มม. ไม่ว่าจะเป็นประติมากรรมนางอัปสรคลี่ปีก ประดับงานลงยาลายฉลุ หรือรายละเอียดตกแต่งสามมิติจำลองความงดงามสะกดอารมณ์ของมวลธรรมชาติได้อย่างสมจริง

นาฬิกาข้อมือ Lady Arpels Jour Enchanté ตัวเรือนทองคำสีขาวขนาด 41 มม. ประดับเพชร หน้าปัดทองคำสีขาวประกอบทองคำสีเหลืองรองรับงานประดับไพลินสีเหลืองกับสีชมพู, โกเมนสีส้มสเปซซาไทต์, เพชร, หินไข่นกการเวก, งานลงยาลายฉลุ, งานลงยาขึ้นรูปสามมิติ และงานลงยาฝังลายรองรับการติดตั้งระบบขับเคลื่อน กลไกขับเคลื่อนระบบไขลานด้วยมือ สายคาดหนังจระเข้อำนวยต่อการสลับเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง

งานศิลปะย่อส่วน

ท่วงท่าสง่างามยามเก็บดอกไม้ของนางอัปสรใต้แสงแรกแห่งทิวา ให้ความรู้สึกดุจมีชีวิตด้วยมนตราเนรมิตจาก Van Cleef & Arpels หลังร่มใบตัวเรือนทองคำขาวสุกสกาวรองรับงานลงยาลายฉลุหรือ plique-à-jour (ปลิกาฌูร) ร่วมกับงานประดับเพชร คือมวลดอกไม้ระยับแสงจำแลงความเลอค่าจากไพลินสีเหลือง และเทคนิคลงยาขึ้นรูปสามมิติหรือ façonné (ฟาซงเน)

ซึ่งเป็นผลงานพัฒนาล่าสุดของ Van Cleef & Arpels ก่อผลลัพธ์เฉกเช่นแปลงดอกไม้ผลิสะพรั่ง ส่วนประติมากรรมนางฟ้าทองคำขาว อันถือกำเนิดจากความละเอียดลออทางหัตถกรรม คลี่ปีกประดับงานลงยาลายฉลุทอทอประกายเหลือบมุกโปร่งใสรับลำแสงแห่งแรกอรุณที่ทาบทอ ในส่วนของฉากหลัง บนแผ่นฟ้าซึ่งประกอบขึ้นจากหินไข่นกการเวกหรือเทอร์คอยซ์ถึงสามเฉดสี ทองคำสีเหลืองหล่อแบบสลักเสลาเล่นสันเหลี่ยมต่างแถบรัศมีสาดส่องออกมาจากดวงตะวันฝังรัตนชาติเลอค่า

อันได้แก่ โกเมนสีส้ม สเปซซาไทต์, ไพลินสี และเพชร โดยอาศัยการฝังอัญมณีขึ้นตัวเรือนบนงานลงยาก่อมิติยกสูง เทคนิคนวัตกรรมมอบผลลัพธ์ราวกับหยาดหยดรัตนชาติกำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ สำหรับด้านหลังของตัวเรือน ความต่อเนื่องของเรื่องราวดำเนินผ่านงานสลักขึ้นรูปนางอัปสรโบยบิน ต้องใช้เวลาถึงสองปีไปกับการพัฒนา และ 180 ชั่วโมง กับงานประกอบหน้าปัดของนาฬิการุ่นนี้ ให้เป็นเสมือนเวทีแสดงความแยบคายทางหัตถกรรม และความเป็นเลิศในการสร้างสรรค์นาฬิกาข้อมือของ Van Cleef & Arpels

หัตถกรรมลงยา: ณ จุดบรรจบระหว่างธรรมเนียมดั้งเดิมกับนวัตกรรมล้ำสมัย

เพื่อยกระดับเครื่องบอกเวลาไปสู่การเป็นผลงานศิลปะ หัตถศิลป์ชั้นสูงแบบฉบับฝรั่งเศส หรือ métiers d'art มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการก่อกำเนิดความวิจิตรบรรจงดุจบทกวีพรรณนาเรื่องราวอันงดงามมาประดับไว้บนข้อมือ ภายในห้องปฏิบัติการแผนกต่างๆ ของโรงงานผลิตนาฬิกาข้อมือที่กรุงเจนีวา Van Cleef & Arpels ขับเคลื่อนวิวัฒนาการขยายผลทักษะความชำนาญหลากแขนงเหล่านี้ออกไปอย่างต่อเนื่อง กลไกสำคัญส่วนหนึ่งของภารกิจนี้ก็คือแผนกลงยากับโรงเรียนฝึกอบรมเฉพาะด้าน

สำหรับงานฝีมือในสาขาศิลปะลงยา นอกจากจะต้องใช้เวลากับความมุ่งมั่นทุ่มเทระดับสูงแล้ว เมซงยังรุดหน้าสู่ความแตกต่างอย่างโดดเด่น และเป็นหนึ่งด้วยการผลักดันให้มีการพัฒนาเทคนิคลงยานวัตกรรม อันนำมาซึ่งผลงานตกแต่งลายนูนต่างระดับ จากงานลงยานูนต่ำไปจนถึงงานลงยานูนสูงประดุจประติมากรรมสามมิติ ไม่ต่างอันใดจากโจทย์ท้าทายความสามารถทางการออกแบบของแผนกสร้างสรรค์หรือ Creation Studio ในการพัฒนาเทคนิคนวัตกรรม จำต้องอาศัยเวลาหลายปีไปกับการศึกษา วิจัย รวมถึงทดสอบกรรมวิธีแต่ละลำดับขั้นตอนบนจุดบรรจบระหว่างศาสตร์ และศิลป์ เพื่อหลอมรวมรายละเอียดเชิงเทคนิค เข้ากับความงดงามตามจินตนาการในการเล่าเรื่องราวผ่านหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ

งานลงยาขึ้นรูปสามิติ

เทคนิคอันสลับซับซ้อนทางกระบวนการสร้างสรรค์นำมาซึ่งประติมากรรมขนาดจิ๋วด้วยกรอบทรงโครงสัณฐานคมชัด หลังผ่านความร้อนสูง วัสดุลงยาจะถูกเทอย่างเบามือลงบน “สื่อกลาง” หรือ “แกนขึ้นรูป” โลหะเหล็กกล้ากันสนิม (stainless-steel) ทีละหยด ทีละชั้น ให้เนื้อยาแต่ละเฉดสีค่อยๆ ทับซ้อนพร้อมกับตัดเจียน

ตกแต่งขึ้นรูปทรงโครงสร้างสามมิติเฉกเช่นงานสลักเสลา แต่ละครั้งที่หยดสีจะต้องนำชิ้นงานไปลนไฟ หรืออบไฟจนแห้งสนิทก่อนตกแต่งรูปทางแล้วจึงนำไปลนไฟ หรืออบไฟความร้อนต่ำอีกครั้งเพื่อขจัดรายละเอียดไม่พึงประสงค์ หรือแง่มุมส่วนเกินทั้งหลายออกไป

ช่างลงยาจะดำเนินงานขั้นตอนเหล่านี้สลับกันไป จนได้เนื้องานอันมีความชัดเจนเชิงสัณฐานเยี่ยงประติมากรรมตรงตามความต้องการ ท้ายสุด ตัวงานลงยาขึ้นรูปสามมิติที่ได้นี้ก็จะถูกนำไปอบในเตาไฟปรับความร้อนอย่างระมัดระวังให้สูงกว่า 500 องศาเซลเซียส (930 องศาฟาเรนไฮต์) เพื่อ “รมเงา” ให้ผิวงานเรียบเนียน เกลี้ยงเกลา ทอประกายเงางามราวผ่านการขัดผิวชักเงา กระบวนการทั้งหมดก่อผลลัพธ์เฉกเช่นประติมากรรมสามมิติเนื้อสีโปร่งใส

เทคนิคขึ้นตัวเรือนบนงานลงยา

ในกระบวนการผลิตงานเครื่องประดับ รัตนชาติทั้งหลายจะถูกฝังขึ้นตัวเรือนโลหะเลอค่า ทว่าสำหรับเทคนิคนี้กลับเป็นการนำอัญมณีทั้งหลายมาฝังลงในเนื้องานลงยาลายฉลุหรือ plique-à-jour (ปลิกาฌูร) โดยไม่อิงอาศัยชิ้นส่วน หรือวัสดุโลหะใดๆ

สำหรับกรรมวิธีสรรค์สร้างผลงานทางสุนทรียศิลป์นี้ รัตนชาติซึ่งผ่านการเจียระไนตามรูปทรงอันเหมาะสม จะถูกนำมาเทียบตำแหน่งที่ต้องการฝังประดับอย่างแม่นยำ หลังจากนั้น จึงทำการเซาะแอ่ง หรือเจาะช่องลงในแผ่นลงยารองรับการฝังอัญมณี ก่อนนำตัวเรือนลงยาไปลนไฟ หรืออบในเตาเผา ซึ่งตั้งระดับความร้อนอุณหภูมิสูงให้เนื้อยาสีหลอมละลายยึดตัวเพชรพลอยดังกล่าวอย่างมั่นคง แน่นหนา แต่ต้องไม่เกิดการบิดเบี้ยว เสียรูปทรง อีกทั้งยังคงมิติดังเดิม ก่อผลลัพธ์ของอัญมณี “ล่องลอย” รับแสงตกกระทบจรัสประกายรัศมีรอบทิศทาง

คอลเลกชันนาฬิกาข้อมือหน้าปัดวิจิตรศิลป์

ในการสรรค์สร้างผลงานคอลเลกชัน Extraordinary Dials ช่างฝีมือลงยา, ช่างสลัก, ช่างเจียระไน, ช่างลงสีจิตรกรรมย่อส่วนและบรรดาช่างเทคนิคฝังอัญมณีขึ้นตัวเรือน ต่างใช้ทักษะความชำนาญเฉพาะด้านของตนในการทำงานร่วมกับช่างทำนาฬิกา เพื่อให้หน้าปัดเครื่องบอกเวลาแต่ละเรือนมอบความสลับซับซ้อนสุดตระการตาเฉกเช่นเวทีงานศิลป์ขนาดย่อส่วน ด้วยกระบวนการอันกินเวลาหลายชั่วโมง

หัตถศิลป์ชั้นสูงแบบฉบับฝรั่งเศสแขนงต่างๆ ได้หลอมรวมร่วมกันเพื่อถ่ายทอดจินตนาการจากแรงบันดาลใจผ่านครรลองของการใช้ความคิดสร้างสรรค์ และความเป็นเลิศทางงานฝีมือของเมซง ไม่ว่าจะเป็นงานสลักลายบนทองคำ หรือแผ่นแม่มุก,งานลงยาหลากเทคนิค อย่างลงยาลายฉลุ, ลงยาลายนูน และลงยาขึ้นรูปสามมิติ, งานฝังมุก หรือแผ่นหินตัดแบบปูลาย, งานฝังรัตนชาติขึ้นตัวเรือน และอื่นๆ อีกมากมาย

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้นของ Van Cleef & Arpels ในการใช้ไหวพริบพลิกแพลงทักษะความชำนาญทางหัตถศิลป์ต่างสาขา เพื่อให้หน้าปัดนาฬิกาแต่ละรุ่นแต่ละเรือนเป็นเสมือนงานศิลป์บอกเวลาอย่างน่าอัศจรรย์

นาฬิกาข้อมือเลดี อารเปลส์รุ่น “สายลมแห่งคิมหันต์” หรือ Lady Arpels Brise d’Été (เลดี อารเปลส์ บรีซ์ เดเต) ของ Van Cleef & Arpels ได้รับรางวัลสุดยอดนาฬิการะบบซ้อนสำหรับสตรี Ladies’ Complication Prize

นี่คือรางวัลอันทรงเกียรติอย่างยิ่งสำหรับ นาฬิกาข้อมือสตรีซึ่งโดดเด่นเป็นหนึ่งด้วยการใช้ความคิดสร้างสรรค์กับกลไกประดิษฐกรรม และความสลับซับซ้อนของระบบต่างๆ

ภายในตัวเรือนที่ได้สัดส่วนอ่อนช้อย ละเมียดละไม หาได้ต่างอันใดจากศูนย์รวมทักษะ ความชำนาญแขนงต่างๆ ทางงานผลิตนาฬิกาข้อมือ, เครื่องประดับอัญมณี และหัตถศิลป์ตามธรรมเนียมดั้งเดิม เพื่อรังสรรค์ทัศนียภาพชวนฝันให้ปรากฏบนหน้าปัดอย่างสมจริง

ด้วยฐานะหนึ่งในแหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจที่ Van Cleef & Arpels รักยิ่งมานับแต่ก่อตั้ง นอกจากธรรมชาติจะมอบความวิจิตรบรรจง และความสดใส มีชีวิตชีวาให้แก่บรรดาผลงานสร้างสรรค์หลายต่อหลายชิ้นแล้ว ก็ยังมีความเกี่ยวพันอย่างล้ำลึกกับการเคลื่อนผ่านของเวลา ดังจะเห็นได้จากการถ่ายทอดแต่ละจังหวะความเป็นไปในวงจรธรรมชาติลงสู่งานออกแบบนาฬิกาข้อมือแต่ละรุ่น

ความประทับใจอย่างลึกซึ้งซึ่งเมซงมีต่อการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ หรือสัณฐานตามวงจรเจริญวัยภายในอาณาจักรพฤกษา และสัตวชีวิน ไม่ว่าจะเป็นการผลิดอกใหม่ หรือใบเขียวขจียามวสันต์เยือน, ความงดงามตระการตาของพรรณไม้ในสวนรุกขชาติ หรือกระทั่งลีลากระพือปีกบอบบางของแมลงผีเสื้อ ล้วนถูกรังสรรค์ลงสู่หน้าปัดบอกเวลาได้อย่างแยบยล

นาฬิกาข้อมือ Lady Arpels Brise d’Été ตัวเรือนทองคำสีขาวขนาด 38 มม. ประดับเพชรหน้าปัดแผ่นแม่มุกประดับโกเมนเขียวส่องซาโวไรต์ และโกเมนสีส้มสเปซซาไทต์ร่วมกับงานแม่มุก, จิตรกรรมย่อส่วน, งานลงยาลายฉลุ, งานลงยาร่องลาย และงานลงยาลายนูน กลไกขับเคลื่อนระบบขึ้นลานอัตโนมัติในตัว ติดตั้งระบบหุ่นกลขับเคลื่อนตามสั่ง สายคาดหนังจระเข้อำนวยต่อการสลับเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง

รจนาความงามแห่งธรรมชาติที่ผันเปลี่ยนเวียนวนตราบนิรันดร์

นาฬิกาข้อมือ Lady Arpels รุ่นใหม่ “สายลมแห่งคิมหันต์” หรือ Brise d’Été (บรีซ์ เดเต) ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงเฉกเช่นเรียงร้อยสุนทรีย์โวหารรจนาโศลกพรรณนาความงามแห่งรุ่นอรุณฤดูร้อนกรุ่นอวลกลิ่นอายธรรมชาติ ผ่านพื้นหน้าปัดขาวกระจ่างของแผ่นแม่มุก (mother-of-pearl) ขัดผิวลดเงาก่อเนื้อสัมผัสเนียนละไมคล้ายแพรซาตินรองรับมิติทัศนียภาพชนบท บอกเวลาแต่ละโมงยามผ่านการเคลื่อนไหวไปตามจังหวะวัฏจักรธรรมชาติที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันอย่างไม่มีวันจบสิ้น

ด้วยบทระดมความสลับซับซ้อนของบรรดาระบบขับเคลื่อนรายละเอียดหุ่นกลอันถือกำเนิดจากหัตถศิลป์ชั้นสูงแบบฉบับฝรั่งเศส บรรดาผีเสื้อทองคำขาวกับทองคำสีเหลืองลงยาลายฉลุหรือ plique-à-jour (ปลิกาฌูร) สลับกันกางปีกโบยบินบอกเวลายามกลางวัน และค่ำคืนไปตามระบบขับเคลื่อนตามสั่งเพียงแค่กดปุ่มข้างตัวเรือน และนี่ยังเป็นกลไกเดียวกับที่ควบคุมการแกว่งไกวเอนไหวยามต้องลมของกิ่งก้าน และดอกไม้วงกลีบลงยาลายนูน หรือ vallonné (วาลลงเน) เฉดน้ำเงินประดับช่อเกสรโกเมนสีส้มสเปซซาไทต์ได้อย่างสมจริง

ในขณะที่บรรดาดอกไม้ประดับลงยาร่องลายหรือ champlevé (ชองเปลเว) แซมสลับโกเมนเขียวส่องซาโวไรต์ต่างใบหญ้า งานลงยาลายฉลุ 3 มิติก็ช่วยเติมความสมจริงให้แก่ทรงสัณฐานของลำต้นอันเป็นงานจิตรกรรมย่อส่วนได้อย่างละเมียดละไม

เรื่องราวความงดงามของรุกขชาติชนบทยังดำเนินต่อเนื่อง มาสู่แผ่นฝาครอบหลังตัวเรือนทำจากทองคำสีขาวสลักลายกิ่งก้านอ่อนช้อยรองรับเทคนิครูปลอกลงยา (enamel decal) สีสดใสบนแผ่นแก้วไพลินใสกระจ่างเผยให้เห็นการขับเคลื่อนตามระบบของกลไกจานเหวี่ยงในตัวเรือนอย่างแยบยล

จิตรกรรมย่อส่วน

ในฐานะเทคนิคงานตกแต่งซึ่งต้องอาศัยเวลา และความวิริยะมุ่งมั่นเป็นสำคัญ จิตรกรรมย่อส่วนจึงหาได้ต่างอันได้จากโจทย์ท้าทายความสามารถของเหล่าศิลปินช่างฝีมือมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ด้วยกระบวนการที่คล้ายคลึงขั้นตอนเตรียมจานสีของจิตรกร ศิลปินช่างลงยาจะใช้ผงซิลิกาบดละเอียดผสมกับเม็ดสีและน้ำมันจนได้น้ำยาลงสีหลากเฉดตามต้องการ

สำหรับหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเลดี อารเปลส์รุ่น “สายลมแห่งคิมหันต์” Lady Arpels Brise d’Été ช่างฝีมือจิตรกรลงยาผู้เตรียมพร้อมด้วยการสวมแว่นตาขยายภาพ จะเริ่มลงสีบนกลีบดอกไม้ลงยาลายนูน (vallonné) หรือปีกผีเสื้อลงยาลายฉลุ (plique-à-jour) ด้วยการใช้พู่กันขนมาร์เทิน (marten เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งคล้ายพังพอน) บรรจงไล่เฉดตามลำดับน้ำหนักโทนทีละสีลงตามตำแหน่งต่างๆ อย่างแม่นยำโดยอาศัยความประณีต พิถีพิถันระดับสูงจากโทนสีอ่อนสุด หรือสว่างสุดไปจนถึงเฉดเข้มสุด ความยากลำบาก ซึ่งต้องพึ่งพาความเพียรพยายาม และอดทนต่อการใช้เวลาสำหรับแต่ละขั้นตอนของแต่ละสี

เพราะหลังจากลงสีไปหนึ่งเฉด ช่างจิตรกรจะต้องนำชิ้นงานไปผ่านกระบวนการความร้อน (ลนไฟ หรืออบในเตาเผา) เนื่องจากสีแต่ละเฉดล้วนมีจุดระเหยก่อตกผลึกก่อประกายเงางามแตกต่างกัน นั่นหมายความว่า ผลลัพธ์ความเป็นเลิศนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่บ่มเพาะความชำนาญ อันอาจกล่าวได้ว่ามีเพียงช่างลงยาระดับปรมาจารย์เท่านั้นจึงจะมีความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้

นอกจากงานลงสีวาดรูปด้วยมือเปล่าโดยปราศจากเส้นร่างแบบ หรือภาพสเก็ตช์ จะถือเป็นกรรมวิธีที่ศิลปินผู้สร้างสรรค์ต้องมีความเฉียบคม และแม่นยำ เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ทางสุนทรียศิลป์อย่างแท้จริง เทคนิคแต่ละขั้นตอนของกระบวนการลงยาบนจิตรกรรมย่อส่วน ยังต้องอาศัยความเชี่ยวชำนาญในการกำหนดเวลา และระดับอุณหภูมิสำหรับการลนไฟ หรืออบไฟสำหรับสีแต่ละเฉดดังกล่าวไว้ข้างต้น

นาฬิกาข้อมือ “ทิวากับราตรี”รุ่น Lady Jour Nuit (เลดี ฌูร นุยต์) ของ Van Cleef & Arpels ได้รับรางวัลสุดยอดนาฬิกาข้อมือสตรี Ladies’ Watch Prize จากความเป็นเลิศทางการออกแบบเครื่องบอกเวลาสำหรับผู้หญิง ซึ่งยังคงใช้กลไกบอกชั่วโมง และนาทีระบบคลาสสิก

ความเวิ้งว้างตระการตาของผืนทิฆัมพรประดับดาราในยามรัตติกาล เป็นแรงบันดาลใจให้ Van Cleef & Arpels สรรค์สร้างนาฬิกาข้อมือสุดเลอค่าด้วยความวิจิตรประณีตอันสะท้อนถึงแนวทางเอกลักษณ์ในงานออกแบบ “บทกวีบอกเวลา” หรือ Poetry of Time ของเมซงโดยอาศัยกลไกอัจฉริยะในการบอกเวลาได้อย่างเที่ยงตรง และแม่นยำร่วมกับจินตศิลป์จำลองวิถีโคจรสลับผันเปลี่ยนระหว่างจันทราแห่งราตรีกับดวงรวีแห่งทิวาของแต่ละวันมาสู่ลีลานาฏกรรมแห่งเวหนบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือรุ่น Lady Jour Nuit

นาฬิกาข้อมือ Lady Jour Nuit ตัวเรือนทองคำสีขาวขนาด 33 มม. ประดับเพชร หน้าปัดพลอยแก้วพรรณรายประดับแผ่นแม่มุกร่วมกับทองคำสีขาว, ทองคำสีเหลือง และเพชร กลไกขับเคลื่อนระบบขึ้นลานอัตโนมัติในตัวด้วยการใช้หน่วยควบคุมการขับเคลื่อนรุ่น Jour Nuit สายคาดหนังจระเข้อำนวยต่อการสลับเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง

โคจรตามวิถีสุริยะระหว่างพระอาทิตย์กับพระจันทร์

ประกายแสงสุกสว่างกลางความมืดของผืนทิฆัมพรประดับดาราในยามรัตติกาล ซึ่ง Van Cleef & Arpels รังสรรค์ขึ้นลงสู่นาฬิกาข้อมือ “ทิวากับราตรี” หรือ Jour Nuit (ฌูร นุยต์) รุ่นแรกเมื่อปีค.ศ. 2008 ได้ขยายผลสู่สองผลงานรุ่นใหม่ในขนาด 33 มม. และ 38. มม.

โดยอาศัยเวลาถึงสามปีในการพัฒนาระบบใหม่ เพื่อให้พระจันทร์ฝังเพชรจิกไข่ปลากับมวลดาวเคลื่อนโคจรไล่ตามดวงรวีเรืองรองจากงานฝังไพลินสีเหลืองแบบพรมหิมะทอประกายระยิบระยับล้อแสง หรือทองคำสีเหลืองสลักลายรัศมีตะวันกวิโญเช (guilloche) ส่องสกาวได้อย่างต่อเนื่องตราบนิรันดร์

กลไกแผ่นจานหมุนควบคุมการเคลื่อนที่ 24 ชั่วโมงได้รับการพัฒนาขึ้นมาติดตั้งใต้หน้าปัด ก่อผลลัพธ์แสดงวิถีแห่งสุริยจักรวาลได้อย่างแยบยล บนแผ่นพลอยพรรณรายอะเวนจูรีน จากมูราโนจำลองมิติเวิ้งว้างแห่งห้วงเวหนไกลโพ้น ทวีความเป็นเลิศ ด้วยเทคนิคเซาะสลักโครงสร้างเปิดโปร่ง รองรับงานประดับดาวทองคำขาวฝังเพชรสุดวิจิตรบรรจง

กรอบตัวเรือนใช้ลูกเล่นแผ่นแม่มุก หรือมาเธอร์-ออฟ-เพิร์ลสีขาวสลักลายจีบพัดคลี่จำลองแบบแถบเส้นรัศมีตะวันเงิน อาศัยโค้งแม่มุกรองรับงานสลักลายรัศมีตะวันกวิโญเชลงยาสีน้ำเงิน เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงเส้นขอบฟ้าทอดผ่านภายใต้ปรากฏการณ์ละเมียดละไมของสุริยจักรวาล ความทุ่มเท และใส่ใจในรายละเอียดแห่งความต่อเนื่องดำเนินมาสู่แผ่นฝาครอบหลัง ซึ่งอาศัยความประณีต พิถีพิถันของเทคนิครูปลอกลงยา (enamel decal) นางฟ้าอารักษ์จับตาชื่นชมนาฏกรรมแห่งเวหนบนแผ่นแก้วไพลินขัดผิวหมดจด ใสกระจ่างเผยให้เห็นโลหะจานเหวี่ยงเดินรายละเอียดแผ่นฟ้าประดับแสงดาว

งานฝีมือแก้วพรรณรายจากเกาะมูราโน

งานฝีมือแก้วพรรณราย “อะเวนจูรีน” จากเกาะมูราโนแห่งเวนิซ ประเทศอิตาลีนั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากงานหล่อแก้วขึ้นแบบตามธรรมเนียมดั้งเดิมซึ่งใช้ความร้อนสูงถึง 2,192 องศาฟาเรนไฮต์ (1,200 องศาเซลเซียส) และด้วยการใช้สินแร่ผสมในเบ้าหลอม ผลึกแก้วแปรรูปจากกระบวนการจึงมอบสีน้ำเงินทอประกายพรายพร่าง เป็นที่มาของชื่อเรียกว่า “หินแก้วพรรณราย”

จากขั้นตอนหล่อแบบมาจนถึงงานค้อนทุบเบ้าหลอมหลังเย็นสนิทเพื่อกร่อนผลึกแก้วออกมา ต้องอาศัยเวลานานถึงหนึ่งเดือนก่อนจะได้แก้วพรรณรายมาตัดเจียนด้วยกรรมวิธีอันละเอียดอ่อน พิถีพิถันเพื่อสกัดแผ่นแก้วบางเฉียบออกมาอย่างไม่มีที่ติ ความเคร่งครัดในการตรวจสอบระหว่างดำเนินการคัดเลือกคือบทเติมเต็มความมั่นใจถึงคุณภาพทางเฉดสี, เนื้อสี และประกายระยิบรับ ซึ่งต้องมีความสม่ำเสมอ กลมกลืน เหมาะแก่การนำมาใช้เป็นแผ่นจานผืนหน้าปัดประกอบบนตัวเรือนนาฬิกา

รูปลอกลงยาบนแก้วไพลิน

เทคนิครูปลอกลงยา (enamel decal) บนแผ่นแก้วไพลิน คือการใช้ไหวพริบพลิกแพลงทักษะความชำนาญของงานลงยา ซึ่งอาศัยเวลา และความละเอียดลออเพื่อเติมเต็ม และเร่งระดับความคมชัดของลวดลายงานแกะสลัก ความประณีต เฉียบคมระดับสูง ถือกำเนิดจากการใช้อุปกรณ์เหล็กหล่ออย่างที่นิยมกันในยุคก่อน ร่วมกับกรรมวิธีประกอบงานแบบเฉพาะ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยแผนกช่างฝีมือประจำห้องปฏิบัติการผลิตงานของ Van Cleef & Arpels ดำเนินกับผลึกแก้วไพลิน (sapphire crystal) สำหรับประกบเป็นฝาครอบหลังตัวเรือนนาฬิกาข้อมือ

Lady Arpels Jour Nuit และ Lady Jour Nuit ผ่านขั้นตอนลงยาเคลือบผิวทีละชั้นทับกันลงไปประมาณ 30 ถึง 36 ครั้ง

ความสลับซับซ้อนอย่างที่สุดของเทคนิครูปลอกลงยานี้ อยู่ที่การคำนวณสัดส่วนอันลงตัวระหว่างอุณหภูมิ กับระยะเวลาที่จะใช้ในขั้นตอนลนไฟ (หรือเป่าความร้อน หรือเข้าเตาเผาตามขนาดชิ้นงานวัสดุ) เนื่องจากเคลือบสีลงยาแต่ละระดับโทนของแต่ละชั้นนั้น จำต้องอาศัยขีดอุณหภูมิซึ่งแตกต่างกันไปตามความเข้มข้นของผงสีที่ผสมน้ำยาเคลือบ รวมถึงความหนาของชั้นลงยา

สำหรับงานฝีมือรูปลอกลงยาที่ตกแต่งบนแก้วคริสตัลที่ใช้กับนาฬิกา “ทิวาราตรี” นั้น ประกอบขึ้นด้วยสองเทคนิคใหม่ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเป็นการเฉพาะ นั่นคือการใช้โลหะแพลทินัมหลอมขึ้นรูปมิติทรงนางฟ้า ร่วมกับเทคนิคจิตรกรรมจุดสี (pointillism technique) ก่อลำดับไล่เฉดโทน ด้วยลูกเล่นผสานพื้นสีน้ำเงินลงบนแผ่นแก้วไพลินเนื้อใส ผลลัพธ์เหลื่อมเฉดไล่โทนจากเข้มสู่อ่อนอย่างกลมกลืน เต็มไปด้วยความสดใส มีชีวิตชีวา

คอลเลกชันนาฬิกาข้อมือหน้าปัดวิจิตรศิลป์

นับจากเริ่มต้นสร้างสรรค์ขึ้นเมื่อปีค.ศ. 2006 Poetic Complications ถือเป็นคอลเลกชันนาฬิกาข้อมือระบบซ้อนหรือ “คอมพลิเคชัน” ระดมกลไกขับเคลื่อนต่างระบบบอกเวลา มาหลอมรวมร่วมกับบรรดาวัสดุเลอค่าโดยอาศัยไหวพริบความเป็นเลิศในการพลิกแพลงทักษะความชำนาญแขนงต่างๆ ตามธรรมเนียมดั้งเดิมเพื่อให้แต่ละหน้าปัดของผลงานแต่ละรุ่นเล่าเรื่องราวอันทรงเอกลักษณ์ของตนได้อย่างวิจิตรตระการตา ไม่ว่าจะเป็นกลไกขับเคลื่อนเข็มบอกเวลาระบบตีกลับ, แผ่นฟันเฟือง และจานหมุน, ระบบขับเคลื่อนหุ่นกลตามสั่ง และอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนถูกนำมาประกอบเข้าตัวเรือนให้ทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้อง และกลมกลืนภายในห้องผลิตงานนาฬิกาข้อมือ Van Cleef & Arpels ที่กรุงเจนีวา

สำหรับทุกผลงานสร้างสรรค์ ช่างศิลป์งานฝีมือประจำเมซงต่างร่วมกันมีส่วนในการสืบสาน พัฒนาต่อยอด และยกระดับหัตถกรรมเก่าแก่นับหลายศตวรรษหลากแขนงให้คงอยู่ และรุดหน้า ไม่ว่าจะเป็นงานลงยา, เทคนิคจิตรกรรมย่อส่วน, งานสลัก และงานประติมากรรมขึ้นแบบสารพันเทคนิค ทั้งแกะสลัก, ปั้นรูป หรือหล่อแบบ บรรดากลไกอันมีความพิเศษเหนือสามัญ และหัตถศิลป์ชั้นสูงแบบฉบับฝรั่งเศส ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเพื่อก่อกำเนิดช่วงเวลาล้ำค่าดั่งต้องมนตราสะกดให้ดำดิ่งลงสู่ใจกลางอาณาจักรแห่งสุนทรียศาสตร์ของ Van Cleef & Arpels

Advertisement

แชร์
เจาะลึก Van Cleef & Arpels สุดยอดหัตถศิลป์ ชนะ 3 รางวัลนาฬิการะดับโลก!