เจาะลึกสถานการณ์การจ้างงานและหางานของไทย เตรียมพร้อมอย่างไรไม่ให้กลายเป็นคนตกงาน ส่องเทรนด์ปี 2025 งานไหนมาแรงน่าจับตา
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายในการประกอบธุรกิจจากการเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว หลายธุรกิจถูกดิสรัปชั่นส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและการหางาน ทำให้ทุกภาคส่วนทั้งนายจ้างและลูกจ้างต่างต้องตั้งรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อมรินทร์ออนไลน์ มีนัดพูดคุยกับ คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK เพื่อร่วมกันฉายภาพทิศทางตลาดแรงงานในปี 2025 ว่าสถานการณ์การจ้างงานและหางานของไทยตอนนี้เป็นอย่างไร คนหางานหรืออยากเปลี่ยนงานต้องเตรียมความพร้อมอย่างไรไม่ให้กลายเป็นคนตกงาน และส่องเทรนด์ว่างานไหนมาแรงน่าจับตาที่สุดในปีนี้
สถานการณ์การจ้างงานในประเทศไทยในปัจจุบันมีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเทคโนโลยีและดิจิทัลที่ยังคงมีความต้องการแรงงานสูง ในขณะที่บางอุตสาหกรรมดั้งเดิมอาจประสบปัญหาการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
นอกจากนี้ การจ้างงานในกลุ่ม SME มีความท้าทายเรื่องงบประมาณและทรัพยากร ทำให้ความต้องการจ้างงานส่วนใหญ่อาจเน้นไปที่ตำแหน่งงานที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพหรือรายได้อย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ผู้สมัครงานเองก็กำลังมองหาความสมดุลระหว่างเงินเดือน สวัสดิการ และโอกาสการพัฒนาตนเอง
สิ่งสำคัญที่เห็นได้ชัดคือการที่ผู้หางานส่วนใหญ่เริ่มหันมาใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น เนื่องจากความสะดวกและการเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลาย แถมยังมี AI มาช่วย Match คนกับงานที่เหมาะสม ทำให้แพลตฟอร์มออนไลน์ อย่าง Jobsdb มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงระหว่างนายจ้างและผู้หางานอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
จากข้อมูลในปัจจุบัน ตำแหน่งงานที่ได้รับความนิยมและมีผู้สมัครงานสนใจมากที่สุดในประเทศไทยมีดังนี้ค่ะ
1.งานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ตำแหน่งงานในสายนี้ เช่น โปรแกรมเมอร์, นักพัฒนาซอฟต์แวร์, และวิศวกรด้าน AI หรือ Data Scientist ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากทุกองค์กรกำลังปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล
2.งานด้านการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) นักการตลาดที่มีทักษะในด้าน SEO, Content Creation, และการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดเป็นที่ต้องการ เนื่องจากการตลาดออนไลน์กลายเป็นหัวใจสำคัญของทุกธุรกิจ
3.งานขายและพัฒนาธุรกิจ (Sales & Business Development) ตำแหน่งงานขายยังคงเป็นที่ต้องการเสมอ โดยเฉพาะในสาย B2B และ E-commerce
4.งานด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน (Logistics & Supply Chain) การเติบโตของ E-commerce ทำให้ความต้องการบุคลากรในด้านนี้เพิ่มขึ้น เช่น ผู้จัดการคลังสินค้า และผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการซัพพลายเชน
5.งานด้านการเงินและการวิเคราะห์ข้อมูล (Finance & Data Analysis) นักวิเคราะห์ทางการเงิน, นักบัญชี, และนักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) ยังคงเป็นตำแหน่งที่มีผู้สนใจอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากทุกองค์กรต้องการข้อมูลเชิงลึกเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ
ทั้งนี้ ความนิยมในแต่ละตำแหน่งยังขึ้นอยู่กับความต้องการในอุตสาหกรรมและความสามารถเฉพาะด้านของผู้สมัครด้วยค่ะ
เงินเดือนเฉลี่ยในประเทศไทยในปัจจุบันจะแตกต่างกันไปตามประสบการณ์ อุตสาหกรรม และตำแหน่งงานค่ะ โดยหากพูดถึงภาพรวมเงินเดือนในตลาดงานทั่วไป เราสามารถแบ่งคร่าว ๆ ตามกลุ่มได้ดังนี้
1.นักศึกษาจบใหม่ (Fresh Graduates) เงินเดือนเริ่มต้นเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20,000-25,000 บาทต่อเดือน โดยสายงานที่ต้องการทักษะเฉพาะ เช่น IT หรือวิศวกรรม อาจได้รับค่าตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ย
2.สายงานระดับกลาง (Mid-level) สำหรับคนที่มีประสบการณ์ 3-5 ปี เงินเดือนเฉลี่ยจะอยู่ในช่วง 30,000-50,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง เช่น การตลาด, การขาย, หรือสายงานวิเคราะห์ข้อมูล
3.สายงานระดับผู้บริหาร (Management) ตำแหน่งระดับผู้จัดการขึ้นไปจะมีเงินเดือนเฉลี่ยประมาณ 70,000-150,000 บาทต่อเดือน หรือสูงกว่านั้นในอุตสาหกรรมที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ เช่น การเงิน, เทคโนโลยี, และการแพทย์
นอกจากนี้ ในอุตสาหกรรมที่มีความต้องการแรงงานสูง เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT), การตลาดดิจิทัล, หรือ งานด้านวิศวกรรม เงินเดือนเฉลี่ยอาจสูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างชัดเจน ตัวเลขดังกล่าวเป็นค่าเฉลี่ยเบื้องต้น และค่าตอบแทนจริงอาจแตกต่างกันไปตามทักษะ ประสบการณ์ และความซับซ้อนของงานค่ะ
สายอาชีพที่ได้รับค่าตอบแทนสูงและมีการปรับเงินเดือนในแต่ละปีอย่างต่อเนื่องมักจะเกี่ยวข้องกับทักษะที่เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานและมีความเฉพาะทางสูงค่ะ ให้ยกตัวอย่าง เช่น
1.เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) ตำแหน่งอย่าง Data Scientist, AI Engineer, และ Cybersecurity Specialist มีเงินเดือนเริ่มต้นสูง และมักได้รับการปรับขึ้นทุกปี เนื่องจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและความต้องการทักษะด้านนี้
2.การเงินและการลงทุน (Finance & Investment) นักวิเคราะห์การเงิน (Financial Analyst), ที่ปรึกษาการลงทุน (Investment Consultant), หรือผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) เป็นกลุ่มที่มีรายได้สูง รวมถึงโบนัสที่ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานในแต่ละปี
3.การแพทย์และสาธารณสุข (Healthcare) แพทย์เฉพาะทาง, ทันตแพทย์, และนักวิจัยทางการแพทย์ มักมีค่าตอบแทนสูง รวมถึงการปรับเพิ่มตามประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ
4.การตลาดดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ (Digital Marketing & E-commerce) ตำแหน่งอย่าง Digital Marketing Specialist หรือ E-commerce Manager มีแนวโน้มการเติบโตของเงินเดือน เนื่องจากธุรกิจออนไลน์ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
5.วิศวกรรม (Engineering) วิศวกรในสาย Automation และอื่นๆ จะได้รับค่าตอบแทนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ในภาพรวม การปรับเงินเดือนยังขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานและผลประกอบการขององค์กรด้วยค่ะ
เทรนด์การจ้างงานและการหางานในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนตามพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่และการปรับตัวขององค์กร เห็นได้ชัดเจน 5 เรื่อง คือ
1.คนรุ่นใหม่กับการทำงาน คนรุ่นใหม่ (Gen Z) เริ่มให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น ทำให้ งานฟรีแลนซ์ หรือการทำงานแบบ Remote Working ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากสามารถจัดการเวลาได้เองและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่บางส่วนยังมองหางานประจำที่มั่นคง หากองค์กรสามารถมอบโอกาสการพัฒนาทักษะและสร้างเส้นทางอาชีพที่ชัดเจนได้
2.การจ้างงานในองค์กร องค์กรเริ่มมีแนวโน้มที่จะจ้างงานแบบสัญญาจ้าง (Contract) มากขึ้น โดยเฉพาะในโครงการที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น งานด้านเทคโนโลยี หรือการตลาดดิจิทัล ขณะเดียวกัน งานประจำยังคงมีบทบาทสำคัญในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างหลักของบริษัท เช่น การเงิน, การบริหารทรัพยากรบุคคล, การตลาดหรือการขาย
3.เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการหางานและจ้างงานเพิ่มมากขึ้น ช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงโอกาสได้ง่ายขึ้นและสามารถเลือกงานที่เหมาะกับทักษะและความสนใจของตนเอง
4.ความต้องการด้านทักษะ องค์กรในปัจจุบันมองหาพนักงานที่มี Soft Skills เช่น การแก้ปัญหา การสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ควบคู่กับ Hard Skills ในสายงานเฉพาะทาง
5.ทัศนคติและวัฒนธรรมองค์กร คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กรที่โปร่งใส มีเป้าหมายที่ชัดเจน และสนับสนุนความหลากหลาย ทำให้หลายบริษัทต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความคาดหวังเหล่านี้
โดยรวมแล้ว เทรนด์การจ้างงานในปัจจุบันสะท้อนถึงความยืดหยุ่นและความหลากหลายทั้งในแง่รูปแบบงานและทัศนคติของทั้งนายจ้างและผู้หางานค่ะ
จากข้อมูลและแนวโน้มในปัจจุบัน ลูกจ้างส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ สวัสดิการและเงื่อนไขการทำงาน ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านการเงินและไลฟ์สไตล์มากขึ้น โดยเกณฑ์และสวัสดิการที่ได้รับความนิยมและถูกระบุบ่อยในใบสมัครหรือการสัมภาษณ์ ได้แก่:
1.โบนัสและค่าตอบแทนตามผลการทำงาน (Performance Bonus) การมีโบนัสที่ชัดเจนและโปร่งใสตามผลการดำเนินงานของบริษัทและพนักงาน เป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดผู้สมัครงาน
2.Work From Home (WFH) และงานรีโมต (Remote Working) หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 พนักงานหลายคนยังคงมองหางานที่มีความยืดหยุ่นในการทำงานจากที่บ้าน หรือสามารถทำงานแบบรีโมตได้ โดยเฉพาะในสายงานด้านเทคโนโลยีและการตลาด
3.ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น (Flexible Working Hours) การกำหนดเวลาทำงานที่ไม่ตายตัวช่วยให้พนักงานบริหารเวลาได้ดีขึ้น และสร้างความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance)
4.สวัสดิการสุขภาพ (Health Benefits) การมีประกันสุขภาพ, การตรวจสุขภาพประจำปี, หรือสวัสดิการดูแลสุขภาพจิต กำลังเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น
5.วันหยุดเพิ่มเติม (Additional Leave) ลูกจ้างหลายคนมองหาวันหยุดเพิ่มเติม เช่น วันลาพักร้อนที่มากกว่ากฎหมายกำหนด หรือวันลาในโอกาสพิเศษ เช่น วันลาเพื่อทำกิจกรรมอาสา
6.การสนับสนุนด้านพัฒนาทักษะ (Learning & Development) สวัสดิการที่สนับสนุนการเรียนรู้ เช่น คอร์สออนไลน์, การอบรมทักษะ, หรือการสนับสนุนด้านการศึกษาต่อ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ดึงดูดพนักงานที่ต้องการพัฒนาตนเอง
7.การสนับสนุนด้านอุปกรณ์ทำงาน (Work Equipment Support) การจัดเตรียมอุปกรณ์ทำงาน หรือการสนับสนุนค่าอินเทอร์เน็ตสำหรับการทำงานที่บ้าน
8.วัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมความหลากหลายและความเท่าเทียม (Diversity & Inclusion) คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการทำงานในองค์กรที่ให้ความเคารพในความหลากหลายทางเพศ, วัฒนธรรม, และความเชื่อ
เกณฑ์และสวัสดิการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของความคาดหวังจากคนทำงาน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มองหาการทำงานที่ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเดือน แต่ยังรวมถึงคุณภาพชีวิตและการพัฒนาตนเองด้วยค่ะ
สิ่งที่เจ้าของธุรกิจมองหาในตัวลูกจ้างในวันนี้มีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและความท้าทายที่องค์กรเผชิญค่ะ โดยปัจจัยหลักที่นายจ้างมองหา ได้แก่
1.ทักษะการปรับตัว (Adaptability) ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นายจ้างต้องการพนักงานที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.ความสามารถในการแก้ปัญหา (Problem-Solving Skills) พนักงานที่มีความคิดเชิงวิเคราะห์และสามารถเสนอแนวทางแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์เป็นที่ต้องการในทุกอุตสาหกรรม
3.ทักษะการสื่อสาร (Communication Skills) การทำงานร่วมกันในทีมและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในองค์กรและกับลูกค้าถือเป็นสิ่งสำคัญ
4.ความรับผิดชอบต่อเป้าหมาย (Accountability) เจ้าของธุรกิจมองหาคนที่สามารถทำงานได้ด้วยความรับผิดชอบและมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายของทีมและองค์กร
5.ทักษะด้านเทคโนโลยี (Tech-Savviness) ทักษะในการใช้งานเทคโนโลยีหรือการทำงานกับแพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ กำลังเป็นสิ่งจำเป็นในหลายอุตสาหกรรม
6.การมีทัศนคติที่ดี (Positive Attitude) พนักงานที่มีพลังบวกและมุ่งมั่นพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ มักจะเป็นที่ชื่นชมและได้รับโอกาสเติบโตในองค์กร
7.ความสามารถในการทำงานแบบ (Multitasking) ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงเร็ว นายจ้างมองหาคนที่สามารถทำงานหลากหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน
8.ความเข้าใจในภาพรวมธุรกิจ (Business Acumen) นายจ้างให้ความสำคัญกับพนักงานที่เข้าใจเป้าหมายและกลยุทธ์ขององค์กร พร้อมสามารถเชื่อมโยงการทำงานของตัวเองกับผลลัพธ์ที่องค์กรต้องการ
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจในปัจจุบันไม่ได้มองหาทักษะเฉพาะทางเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการบุคลิกภาพและทัศนคติที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กร รวมถึงศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวด้วยค่ะ
แม้แรงงานไทยจะมีจุดเด่นหลายด้าน เช่น ความขยันขันแข็ง ความประนีประนอม และความสามารถในการทำงานร่วมกัน แต่ก็ยังมีบางคุณสมบัติที่ต้องพัฒนาเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดแรงงานระดับโลกได้มากขึ้น ได้แก่
1.ทักษะด้านภาษาอังกฤษ (English Proficiency) ภาษาอังกฤษยังคงเป็นจุดอ่อนของแรงงานไทยในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายงานที่ต้องติดต่อสื่อสารกับลูกค้าหรือลูกค้าในต่างประเทศ
2.ความคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) แรงงานไทยบางส่วนยังขาดทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาเชิงรุก ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในยุคที่องค์กรต้องการความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว
3.ทักษะด้านเทคโนโลยี (Digital Skills) แม้จะมีการใช้งานเทคโนโลยีอย่างแพร่หลาย แต่แรงงานไทยยังขาดความเชี่ยวชาญในทักษะที่ลึกซึ้ง เช่น การเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) หรือการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในเชิงธุรกิจ
4.การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมทำให้การพัฒนาทักษะใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง (Upskilling/Reskilling) เป็นสิ่งจำเป็น แรงงานไทยบางกลุ่มยังไม่เห็นความสำคัญในเรื่องนี้อย่างเต็มที่
5.ทัศนคติที่พร้อมเปลี่ยนแปลง (Growth Mindset) บางครั้งแรงงานไทยยังยึดติดกับวิธีการทำงานแบบเดิม ๆ และขาดความยืดหยุ่นในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง
6.ทักษะการบริหารเวลา (Time Management) การจัดลำดับความสำคัญของงานและการบริหารเวลาเป็นอีกหนึ่งจุดที่แรงงานไทยสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้
7.การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Communication) นอกจากเรื่องภาษา ทักษะในการสื่อสารให้ชัดเจน กระชับ และเข้าใจง่ายก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา เพื่อการทำงานที่ราบรื่นและลดความเข้าใจผิด
หากแรงงานไทยสามารถพัฒนาคุณสมบัติเหล่านี้ได้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันในตลาดแรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างแน่นอนค่ะ
ความกังวลว่า AI จะเข้ามาแย่งงานเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน และแม้ว่า AI จะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานในหลายอุตสาหกรรม แต่สิ่งที่ควรมองคือ โอกาสในการปรับตัวและพัฒนาทักษะ แทนที่จะมองเป็นภัยคุกคามอย่างเดียวค่ะ
1.งานที่ AI อาจเข้ามาทดแทน งานที่มีลักษณะการทำซ้ำ ๆ (Repetitive Tasks) หรือสามารถใช้ระบบอัตโนมัติ เช่น การป้อนข้อมูล (Data Entry), งานในสายการผลิต, หรือการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน อาจถูก AI เข้ามาแทนที่
2.งานที่ AI ยังไม่สามารถทดแทนได้ งานที่ต้องอาศัย ความคิดสร้างสรรค์, การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์, หรือ การสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ เช่น งานด้านการตลาด, การออกแบบ, การให้คำปรึกษา, และงานที่ต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ (Human Touch) จะยังคงมีความสำคัญ และ AI จะเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพแทนที่จะเข้ามาแทนที่ทั้งหมด
3.โอกาสใหม่ที่เกิดขึ้นจาก AI AI ไม่เพียงแค่ลดงานบางส่วน แต่ยังสร้างงานใหม่ เช่น Data Scientist, AI Trainer, หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการระบบ AI ซึ่งเปิดโอกาสให้แรงงานพัฒนาทักษะในสายงานใหม่
สิ่งที่ควรทำเพื่อลดความกังวลว่าจะถูก AI แย่งงาน คือ Upskilling/Reskilling: พัฒนาทักษะใหม่ ๆ ที่ AI ไม่สามารถทำได้ เช่น การแก้ปัญหาที่ซับซ้อนหรือความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้การใช้ AI เป็นเครื่องมือ: การเรียนรู้วิธีการใช้งาน AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตัวเอง การมอง AI เป็นคู่หูการทำงาน: การใช้ AI ช่วยจัดการงานที่ซ้ำซากเพื่อให้มีเวลาไปโฟกัสกับงานที่สำคัญและซับซ้อนมากขึ้น
โดยรวมแล้ว AI ไม่ได้เข้ามาเพื่อแย่งงาน แต่เข้ามาเพื่อช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและสร้างโอกาสใหม่ ๆ หากเราปรับตัวและพัฒนาทักษะได้อย่างเหมาะสม จะช่วยลดความกังวลและเปิดโอกาสให้เราเติบโตในสายอาชีพต่อไปค่ะ
ในปัจจุบัน คนไทยมีโอกาสที่จะแข่งขันกับแรงงานต่างชาติในบางอาชีพ โดยเฉพาะในสายงานที่ต้องใช้ ทักษะเฉพาะทาง หรือ ทักษะขั้นสูง ซึ่งเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานระดับโลก อย่างไรก็ตาม การแข่งขันนี้ไม่ได้หมายความว่าแรงงานไทยจะเสียเปรียบเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับการพัฒนาทักษะและการปรับตัวของแรงงานไทยเองด้วยค่ะ
สายอาชีพที่อาจมีแรงงานต่างชาติเข้ามาแข่งขัน
เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และวิศวกรรม อาชีพเช่น Software Developer, Data Scientist, และ AI Engineer เป็นที่ต้องการทั่วโลก และแรงงานต่างชาติเข้ามาในตลาดไทยเนื่องจากขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญในสายงานนี้
งานด้านการเงินและการลงทุน (Finance & Investment) ผู้เชี่ยวชาญในสายงานนี้ที่มีประสบการณ์ระดับนานาชาติมักได้รับการดึงดูดจากองค์กรขนาดใหญ่ในไทย
สายงานสร้างสรรค์ (Creative Industries) อาชีพเช่น นักออกแบบ UX/UI หรือ Creative Director บางครั้งบริษัทอาจเลือกแรงงานต่างชาติที่มีประสบการณ์ในตลาดระดับโลก
ส่วนปัจจัยที่แรงงานไทยควรพัฒนาเพื่อลดความเสี่ยง ก็คือ
ทักษะด้านภาษาอังกฤษและการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม (Cross-Cultural Communication) ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วและการทำงานในทีมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมเป็นข้อได้เปรียบสำคัญ
การพัฒนาทักษะขั้นสูง (Advanced Skills) การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เช่น การเขียนโปรแกรม, การวิเคราะห์ข้อมูล, หรือการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ จะช่วยให้แรงงานไทยแข่งขันได้ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Specialization) การพัฒนาในสายอาชีพที่มีความต้องการเฉพาะ เช่น การแพทย์เฉพาะทาง หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ท้องถิ่น
การสร้างความได้เปรียบด้านวัฒนธรรมท้องถิ่น แรงงานไทยมีความเข้าใจตลาดและวัฒนธรรมไทยเป็นพิเศษ ซึ่งแรงงานต่างชาติอาจไม่สามารถเข้าถึงได้ในระดับเดียวกัน
ส่วนในเรื่องของมาตรการจากภาครัฐ รัฐบาลไทยมีข้อกำหนดที่ชัดเจนเกี่ยวกับอาชีพที่สงวนไว้สำหรับคนไทย เช่น งานบริการทั่วไป งานขาย หรือแรงงานด้านก่อสร้าง รวมถึงการกำหนดให้แรงงานต่างชาติในอาชีพบางประเภทต้องมีใบอนุญาตทำงานและคุณสมบัติที่เหมาะสม ดังนั้น แม้แรงงานต่างชาติจะเข้ามาในตลาดไทยโดยเฉพาะในสายงานที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูง แต่แรงงานไทยยังคงมีโอกาสที่จะแข่งขันและสร้างความแตกต่างได้ หากมีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดค่ะ
ในปี 2025 อาชีพที่มาแรงมักเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการปรับตัวของตลาดแรงงานให้เข้ากับโลกยุคดิจิทัล รวมถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในบางอุตสาหกรรม โดยอาชีพที่คาดว่าจะมาแรง ได้แก่
1.นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) และนักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) เนื่องจากข้อมูลกลายเป็นทรัพยากรสำคัญของทุกธุรกิจ อาชีพที่เกี่ยวกับการเก็บ วิเคราะห์ และใช้ข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจจะยังคงมีความต้องการสูง
2.วิศวกรด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI Engineer) และวิศวกร Machine Learning AI ยังคงเป็นหัวใจของนวัตกรรมในหลายอุตสาหกรรม เช่น การแพทย์ การเงิน และการผลิต ทำให้ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา AI และ Machine Learning มาแรงต่อเนื่อง
3.นักออกแบบ UX/UI (UX/UI Designer) การเติบโตของแพลตฟอร์มออนไลน์และแอปพลิเคชันทำให้อาชีพนี้ยังคงสำคัญสำหรับการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้ใช้
4.ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity Specialist) การเติบโตของการทำธุรกรรมออนไลน์และระบบคลาวด์ ทำให้ธุรกิจต้องการผู้เชี่ยวชาญที่สามารถป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ได้
5.ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน (Sustainability Consultant) ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาชีพนี้จึงได้รับความสนใจมากขึ้นในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ
6.นักการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing Specialist) การแข่งขันในตลาดออนไลน์ทำให้ความต้องการนักการตลาดที่มีทักษะในด้าน SEO, SEM, Content Marketing, และ Data-Driven Marketing ยังคงเพิ่มขึ้น
7.นักสร้างสรรค์เนื้อหา (Content Creator/Influencer) แม้จะไม่ใช่อาชีพใหม่ แต่การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงยังคงเป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะในยุคที่แบรนด์ต้องการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคผ่านช่องทางดิจิทัล
การเติบโตของอาชีพเหล่านี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงานและความต้องการในตลาดแรงงานในยุคดิจิทัล หากแรงงานสามารถพัฒนาทักษะในสายงานเหล่านี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตในอาชีพได้อย่างแน่นอนค่ะ
ในปี 2025 ซึ่งตลาดแรงงานยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเตรียมตัวสำหรับลูกจ้างหรือผู้ที่กำลังมองหางานจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อเพิ่มโอกาสในการถูกเลือกและลดความเสี่ยงในการกลายเป็นคนว่างงานค่ะ ต่อไปนี้คือทริคและเคล็ดลับที่ช่วยเตรียมตัวให้พร้อม
1.พัฒนาทักษะที่ตลาดต้องการ (In-Demand Skills)
• เรียนรู้ทักษะที่กำลังมาแรง เช่น Data Analysis, การใช้ AI Tools, หรือทักษะด้านดิจิทัลอื่น ๆ
• ฝึกทักษะ Soft Skills เช่น การสื่อสาร, การแก้ปัญหา, และการทำงานร่วมกับคนหลากหลายวัฒนธรรม
2.อัปเดตโปรไฟล์ออนไลน์ (Update Your Online Presence)
• ปรับปรุงโปรไฟล์บนแฟลตฟอร์มหางานให้โดดเด่น เพิ่มทักษะและผลงานที่เกี่ยวข้อง
• ระบุคำสำคัญ (Keywords) ที่ตรงกับสายงานเป้าหมายในเรซูเม่และโปรไฟล์ออนไลน์
3.สร้างเครือข่าย (Networking)
• เข้าร่วมอีเวนต์หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสายงาน เช่น งานสัมมนา หรืองาน Job Fair
• สร้างความสัมพันธ์กับคนในอุตสาหกรรมที่สนใจผ่านกลุ่มเครือข่าย
4.ปรับเรซูเม่ให้ตรงกับตำแหน่งงาน (Tailor Your Resume)
• ปรับแต่งเรซูเม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของตำแหน่งที่สมัคร
• เน้นผลลัพธ์และความสำเร็จที่เคยทำได้ เช่น การเพิ่มยอดขายหรือปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน
5.เตรียมพร้อมสำหรับการสัมภาษณ์ (Job Interview Preparation)
• ฝึกตอบคำถามสัมภาษณ์ โดยเฉพาะคำถามที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาและการทำงานในสถานการณ์ที่ซับซ้อน
• แสดงความกระตือรือร้นและความเข้าใจในองค์กรที่สมัคร
6.พัฒนาทักษะเรียนรู้ด้วยตัวเอง (Lifelong Learning)
• ลงเรียนคอร์สออนไลน์
• อ่านหนังสือ บทความ หรือฟัง Podcast เพื่ออัปเดตความรู้ในสายงาน
7.พัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษ (English Proficiency)
• ภาษาอังกฤษเป็นทักษะสำคัญในการเปิดประตูสู่โอกาสในองค์กรต่างชาติ
• ฝึกฝนการพูดและเขียนให้มีประสิทธิภาพ
8.ยืดหยุ่นและพร้อมปรับตัว (Be Flexible and Open to Change)
• เปิดรับตำแหน่งหรือโอกาสใหม่ ๆ ที่อาจไม่ใช่สายงานเดิม แต่มีศักยภาพในการเติบโต
• พร้อมเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และทำงานในรูปแบบ Hybrid หรือ Remote
9.แสดงจุดแข็งและความแตกต่าง (Make Yourself Standout)
• เน้นจุดเด่นที่ทำให้คุณแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่น เช่น ทักษะเฉพาะทางหรือประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
• แสดงความมุ่งมั่นและทัศนคติที่พร้อมเรียนรู้
10.ติดตามแนวโน้มตลาดงาน (Stay Updated on Job Market Trends)
• ศึกษาสายงานที่มีความต้องการสูงและพิจารณาพัฒนาตนเองในทิศทางนั้น
• ใช้แพลตฟอร์มหางาน เช่น Jobsdb เพื่อติดตามโอกาสใหม่ ๆ
การเตรียมตัวที่ดีในทุกด้านเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้สมัครงานโดดเด่นในสายตาของนายจ้าง และสามารถรักษาความมั่นคงในอาชีพการงานได้ในปี 2025 ค่ะ
Advertisement