ความคืบหน้าแก๊งค้ายาเสพติดพยายามบุกชิงตัวผู้ต้องหาขณะ ปลัด และ อส.รวม 6 นาย ซึ่งเป็นชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดฝ่ายปกครอง จ.สงขลา จับกุมผู้ต้องหา 1 ราย พร้อมยาบ้า 20,000 เม็ด ก่อนขยายผลนำไปล่อซื้อยาเสพติดในพื้นที่ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 18 ต.ค. 65 ที่ผ่านมา แต่กลุ่มคนร้ายไม่ได้ตัวผู้ต้องหาไปเพราะอยู่ในรถอีกคัน และได้ปล้นปืนพกสั้น 9 มม. ของ ปลัด และ อส. ไป 5 กระบอก ยาบ้าของกลาง 20,000 เม็ด โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง และรถเก๋งของปลัดไปอีก 1 คัน
ต่อมาปรากฏว่าผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมให้การซัดทอดว่า ปลัด และ อส. ชุดนี้เรียกเงิน 1,000,000 บาท แต่ต่อรองเหลือ 300,000 บาท หรือไม่ก็เอาเป็นยาบ้า 100 มัด 200,000 เม็ด หรือไอซ์ 10 กิโลกรัม อย่างใดอย่างหนึ่งมาแทนเพื่อแลกตัวผู้ต้องหา นั้น
ล่าสุดวันที่ 25 ต.ค. 65 ศาลจังหวัดสงขลา ได้อนุมัติหมายจับ ปลัด และ อส. ทั้ง 6 นายแล้ว ซึ่งเป็นชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด ฝ่ายปกครอง จ.สงขลา หรือ ชุดพิฆาตไพรี ในข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันกระทำความผิด เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าโดยทุจริต
หลังจากผลการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมต่างให้การสอดคล้องกันว่า ปลัด และ อส. ชุดนี้ ได้เรียกรับผลประโยชน์ เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดีอาญากับ นายธนกร หรือ โด่ง ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ชุดนี้จับกุม โดยให้ นายธนกร ติดต่อญาติให้นำเงินจำนวน 1,000,000 บาท หรือยาบ้าจำนวน 100 มัด รวม 200,000 เม็ด หรือไอซ์ 10 กิโลกรัม มาแลกตัว ซึ่งเจ้าหน้าที่มีหลักฐานสำคัญที่พบว่าทั้ง ปลัด และ อส. ชุดนี้ เรียกรับผลประโยชน์ แลกกับการปล่อยตัวผู้ต้องหา ทั้งข้อมูลที่มีการเจรจาต่อรองผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ของผู้ต้องหาและเบอร์โทรศัพท์ของ ปลัดไพรัช ที่ใช้ติดต่อพูดคุยกัน ก่อนที่จะมีการนัดหมายแลกตัวผู้ต้องหากันในคืนเกิดเหตุ
พนักงานสอบสวนจึงรวบพยานหลักฐาน พยานเอกสาร รวมทั้งสอบปากคำพยาน ซึ่งต่างสอดคล้องกันว่า เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมผู้ต้องหาคดีนี้ มีพฤติการณ์เรียกรับผลประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อแลกกับการปล่อยตัวผู้ต้องหาที่ถูกจับในคดียาเสพติด รวมทั้ง นายธนกร กับผู้ต้องหาคนอื่น ๆ ที่ถูกจับ ก็ไม่รู้จักกัน และถูกจับคนละเวลา ไม่มีโอกาสที่จะพูดคุยกัน เพื่อสร้างพยานหลักฐานให้ร้ายกับเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม พนักงานสอบสวน จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดสงขลา เพื่อขออนุมัติออกหมายจับ ปลัดไพรัช และ อส. ชุดนี้ รวม 6 นาย
บรรยากาศที่ สภ.รัตภูมิ บริเวณชั้น 2 พบว่า หลังจากศาล จ.สงขลา อนุมัติหมายจับเจ้าหน้าที่ทั้ง 6 นาย ตั้งแต่เมื่อคืน วันนี้ตั้งแต่ช่วงเช้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทั้ง 6 นาย ได้แอบเดินทางเข้ามอบตัวกับตำรวจแล้ว โดยตำรวจได้นำตัวเจ้าหน้าที่ทั้ง 6 นาย นั่งห้องสอบปากคำแยก โดยแต่ละคนมีทนายประกบในการสอบปากคำต่อหน้าพนักงานสอบสวนด้วย
โดยจ่าเอกไพรัช หัวหน้าชุดจับนั้น ถูกนำตัวเข้าห้องสอบปากคำที่ 3 ทีมข่าวภาพจะเก็บภาพจ่าเอกไพรัช แต่ทันทีที่จ่าเอกไพรัช เห็นกล้องจำนวนมากของนักข่าว จ่าเอกไพรัช สีหน้าที่เคร่งเครียดและหน้าถอดสี ก่อนจะรีบนำมือมาปิดบังและกระดาษเอสี่ยกขึ้นมาปิดใบหน้าด้วยความอาย
ส่วนนายอดิศักดิ์ หวังนิ เจ้าหน้าที่ชุด อส. ที่ถูกออกหมายจับอีกคน ถูกนำตัวเข้าห้องสอบสวนเช่นกัน โดยเจ้าตัวมีสีหน้าที่เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ส่วน จนท.อีก 4 คน ถูกนำไปสอบห้องอื่นยังไม่เห็นตัว
ขณะเดียวกันช่วงบ่ายวันนี้ เจ้าหน้าที่จากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ส่วนของภูธรภาค 9 และ จ.สงขลา ได้เดินทางมายัง สภ.รัตภูมิ เพื่อติดตามการสอบสวนของฝ่ายตำรวจด้วย เนื่องจากผู้กระทำผิดเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งจะต้องส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบและดำเนินการเอาผิดด้วย และเป็นคดีสำคัญที่ผู้บังคับบัญชาให้ความสำคัญว่าจะต้องเอาผิดด้วย
เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า คดีนี้ทางพนักงานสอบสวนจะต้องส่งสำนวนคดีให้ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน และ ป.ป.ช. จะรับเรื่องมาสอบสวนและตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อ หากพบว่ากระทำผิดจริงก็จะถูกดำเนินคดีด้วย
และสำหรับอัตราโทษคดีนี้มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินโทษสูงสุด คือ ประหารชีวิต
ทีมข่าวได้เข้าไปดูในเฟซบุ๊กของ นายหมู่ตรีพิษณุ รัตนอุไร หนึ่งในเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองชุดจับกุม ที่ถูกออกหมายจับ พบว่าหลังเกิดเหตุ นายหมู่ตรีพิษณุ ได้มีการแชร์โพสต์ของเพจกองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน ที่โพสต์ให้กำลังเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมช่วงแรก จากนั้นโพสต์ดังกล่าวได้ถูกลบทิ้ง
โดยระบุข้อความไว้ว่า “สู้กันต่อไปครับพี่น้อง อส.”, “สู้ต่อไปครับยังมีลมหายใจอยู่” ซึ่งข้อความดังกล่าวถูกแชร์ก่อนที่ตำรวจจะออกหมายจับ นายหมู่ตรีพิษณุ เพียง 2 วันเท่านั้น
ขณะเดียวกัน นายหมู่ตรีพิษณุ ยังเข้าไปตอบคอมเมนต์เพื่อนในเฟซบุ๊กเพื่อนที่เข้ามาให้กำลังใจตัวเองด้วย มีหนึ่งคอมเมนต์ได้พิมพ์ว่า “แก้ผ้ากันม่าย” โดยนายหมู่ตรีพิษณุ ได้ตอบกลับว่า “นักข่าวมั่วหรอยนิ”
นอกจากนี้ยังมีเพื่อนในเฟซบุ๊กแห่เข้าไปร่วมให้กำลังใจนายหมู่ตรีพิษณุ จำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะบอกว่า “สู้ ๆ นะ ไม่เป็นไร คนดีพระจะคุ้มครอง” ซึ่งนายหมู่ตรีพิษณุ ได้ตอบคอมเมนต์สั้น ๆ ว่า “ครับ ๆ ไม่พรือ ขอบใจมาก”
เวลา 13.00 น. ที่ สภ.รัตภูมิ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาร่วมประชุมติดตาม 3 คนร้ายที่ก่อเหตุชิงผู้ต้องหา จากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของ จ.สงขลา และแถลงข่าวความคืบหน้าคดี
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า ล่าสุดศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 ได้อนุมัติออกหมายจับ เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการฝ่ายปกครองของ จ.สงขลา รวมทั้งหมด 6 นาย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฐานร่วมกันเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ซึ่งหลังถูกออกหมายจับ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทั้ง 6 นาย ล่าสุดได้เข้ามอบตัวกับตำรวจทั้งหมดแล้ว อยู่ระหว่างการสอบปากคำ ซึ่งเจ้าตัวจะพูดอย่างไรก็เป็นสิทธิของผู้ต้องหา โดยคำให้การของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองทั้ง 6 นายนั้น ในตอนแรกอ้างว่า คนร้ายมากันประมาณ 20 คน เพื่อก่อเหตุ ขับรถมากัน 4 คัน และคนร้ายนำรถเทลเลอร์มาจอดขวางถนนในการปล้น จากการสอบกล้องวงจรปิดและคำให้การทั้งฝ่ายผู้ต้องหาแก๊งค้ายา และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองพบว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองทั้ง 6 นาย ให้การเท็จกับตำรวจ และตั้งใจจะสร้างขึ้นมาทั้งหมดเพื่อให้พ้นความผิดเท่านั้น แท้จริงแล้วเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ในวันเกิดเหตุเดินทางไปเพียงรถ 3 คัน ไม่ใช่ 4 คัน และมีคนร้ายแค่ 8 คน ไม่ใช่ 20 คน และจุดประสงค์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง
ตำรวจได้ตรวจสอบทั้งข้อความแชตผ่านทางแอปพลิเคชั่นไลน์และข้อมูลการโทรศัพท์ พบข้อมูลในโทรศัพท์ของจ่าเอกไพรัช มีการพูดคุยนัดหมายเรื่องจำนวนเงิน 1 ล้านบาท เพื่อแลกกับการปล่อยตัวผู้ต้องหา คือ นายธนกร จริง แบ่งออกเป็นให้เอาเงินสดมาจำนวนเงิน 2 แสนบาท และยาไอซ์อีก 8 กิโลกรัม มูลค่า 8 แสนบาท รวมเป็น 1 ล้านบาท
ซึ่งจ่าเอกไพรัช ได้นัดพิกัดจุดแลกผู้ต้องหาเอง โดยไม่ได้มีการประสานตำรวจเนื่องจากตั้งใจจะเรียกรับผลประโยชน์อยู่แล้วก่อนที่จะถูกฝั่งผู้ต้องหาตลบหลังกลับทำให้เกิดเรื่องขึ้น
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ยังบอกอีกด้วยว่า จนถึงขณะนี้ตำรวจมั่นใจในพยานหลักฐานว่า มีความแน่นหนาและเพียงพอที่จะเอาผิดเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองทั้ง 6 คน ได้อย่างแน่นอน และจะมีการแจ้งข้อหาให้การเท็จและขยายผลไปต่อว่า มีเหยื่อรายอื่น ๆ ที่ถูกชุดฝ่ายปกครองชุดนี้ก่อเหตุเรียกไถ่เงินอื่นอีกหรือไม่ พร้อมทั้งไล่ตรวจสอบเส้นทางการเงินของเจ้าหน้าที่ทั้ง 6 หากพบความผิดจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมต่อไป
ส่วนเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองกับหน่วยงานตำรวจ ยืนยันว่าตำรวจและฝ่ายปกครอง ไม่ได้มีความขัดแย้งกัน และที่ผ่านมาทั้งสองหน่วยงานได้มีการทำงานร่วมกันมาตลอดอยู่แล้ว หลังเกิดเรื่องได้พูดคุยกับปลัดกระทรวงมหาดไทยแล้ว ซึ่งทางปลัดกระทรวงมหาดไทยก็ขอให้ตนเองดำเนินการอย่างเต็มที่ และตรงไปตรงมาที่สุด ซึ่งในกรณีนี้ตำรวจมีหน้าที่ทำความจริงให้ปรากฎหากตำรวจพบเจ้าหน้าที่รัฐทำผิดก็จะต้องลงโทษตามคดีอาญาและตามข้อเท็จจริงอยู่แล้วไม่มีละเว้น
ส่วนความคืบหน้าคดี ในส่วนผู้ต้องหาแก๊งค้ายาเสพติด พบว่ายังเหลืออีก 3 คน ที่ยังหลบหนี ตอนนี้ตำรวจกำลังเร่งติดตามอยู่
ขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวว่ามีเจ้าหน้าที่ปลัดอำเภอ รวม 6 คน ซึ่งเป็นพรรคพวก เพื่อน และคนรู้จักของทั้งหมด ได้เดินทางมาขอใช้ตำแหน่งของตัวเองเพื่อยื่นค้ำประกันตัว ทั้ง 6 คน พร้อมวางหลักทรัพย์วงเงินประกันคนละ 3 แสนบาท 6 คนรวมหลักทรัพย์ทั้งหมด 1,800,000 บาท เพื่อขอประกันตัว ซึ่งจนถึงขณะนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาว่า ตำรวจจะให้ประกันตัวในชั้นสอบสวนหรือไม่
ล่าสุดเมื่อ 20.45 น. จ่าเอกไพรัช และเจ้าหน้าที่ อส.อีก 5 นาย ได้ถูกตำรวจปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นสอบสวนแล้ว โดยมีปลัดอำเภอ 6 คน ใน จ.สงขลา ใช้ตำแหน่งในการขอยื่นประกันตัวและวางหลักทรัพย์ยื่นประกันตัวคนละ 300,000 บาท
ทีมข่าวได้พยายามสอบถามความรู้สึกของจ่าเอกไพรัช ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดจับ หลังถูกปล่อยตัว เจ้าตัวให้ สัมภาษณ์สั้น ๆ ว่าตนเองยืนยันในความบริสุทธิ์ใจและมั่นใจหนึ่งล้านเปอร์เซ็นว่าตนเองปฎิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง และตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย และไม่มีความกังวลใจใด ๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น
ส่วนข้อครหาที่ประชาชนมองว่า ตนเองเป็นเจ้าหน้าที่ที่ไม่ดี รู้สึกอย่างไรกับภาพลักษณ์ที่เสียไป จ่าเอกไพรัช ไม่ขอตอบคำถาม และขอให้ข้อมูลเพียงเท่านี้
เวลา 08.30 น. ที่ สภ.รัตภูมิ ตำรวจได้ควบคุมตัว นายโชคนิมิตร จิตการุณ หรือ จอร์ท อายุ 39 ปี ผู้ต้องหารายที่ 6 แก๊งค้ายาบ้า ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ติดต่อเข้ามอบตัวกับตำรวจ เมื่อ 23 ต.ค. 65 ที่ผ่านมา ไปฝากขังผลัดแรกที่ศาลจังหวัดสงขลา ระหว่างนำตัวขึ้นรถควบคุมผู้ต้องหา เจ้าตัวมีสีหน้าเศร้าหมองและคอตกทันทีที่ขึ้นไปนั่งบนรถควบคุมผู้ต้องหา
ทีมข่าวพยายามสอบถาม นายจอร์ท ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าตัวไม่พูดถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ แต่ยืนยันว่า ตนเองไม่มีส่วนรู้เห็นและไม่ได้ร่วมก่อเหตุ เพียงแค่ยืนดูเฉย ๆ และวันเกิดเหตุตนเองเพียงแค่นั่งรถไปด้วยเท่านั้น เนื่องจากก่อนเกิดเหตุเพื่อนคนหนึ่งที่เข้าไปร่วมก่อเหตุได้ชักชวนตนเองไปเที่ยวที่ จ.สตูล แต่ระหว่างทางไม่คิดว่าจะเปลี่ยนไปก่อเหตุพยายามชิงตัวผู้ต้องหา และขอความเป็นธรรมให้กับตัวเองด้วย ตนเองไม่รู้เรื่องด้วยจริง ๆ
ทีมข่าวถามต่อว่า มีอะไรอยากจะบอกเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองทั้ง 6 นายหรือไม่ เจ้าตัวนิ่งเงียบ ตอบสั้น ๆ ว่า ไม่ครับ
Advertisement