หลวงตาสินทรัพย์ เล่าที่มาฉายา พระสิ้นคิด ผ่านมาแล้วทั้งบ่อน ซ่อง คุก ขอหยุดชีวิตไว้ที่พระธรรม

ทำความรู้จัก หลวงตาสินทรัพย์ พระวัดป่านักเทศน์ชื่อดัง พร้อมเล่าที่มาฉายา พระสิ้นคิด เผยชีวิตผ่านมาแล้วทั้งบ่อน ซ่อง คุก ขออยู่รับใช้พระธรรมคำสั่งสอน เผยแผ่ศาสนาต่อไป

กลายเป็นกระแสบนโลกออนไลน์ สำหรับ หลวงตาสินทรัพย์ หรือ พระสิ้นคิด พระวัดป่านักเทศน์ชื่อดังที่ชาวโซเชียลคุ้นหน้าคุ้นตากับลีลาการสอนธรรมะแบบสนุกสนาน และเมื่อปรากฏภาพ แม่ชีเจิ้น ลูกศิษย์คนสำคัญที่ทำให้โด่งดังบนโซเชียลได้ถวายรถบีเอ็มดับเบิลยูราคากว่า 7 ล้านบาท ด้วยความรักและศรัทธา เพื่อใช้ในกิจนิมนต์ ทำให้หลายคนอยากทราบว่า หลวงตาสินทรัพย์ หรือ พระสิ้นคิด มีประวัติความเป็นมาอย่างไร

หลวงตาสินทรัพย์ หรือ พระสิ้นคิด ได้เล่าประวัติความเป็นมาแบบคร่าวๆ ผ่านยูทูบ prasinkid โดยมีความเป็นมาดังนี้

ชีวิตวัยเด็กของ หลวงตาสินทรัพย์

หลวงตาสินทรัพย์ เล่าว่าเกิดในครอบครัวที่ยากจนมาก พอแม่ท้องได้ 6 เดือน ก็แยกทางกับพ่อ พูดง่ายๆ ก็คือออกมาแล้วก็ไม่ได้เห็นหน้าพ่อ จากนั้นพ่อกับแม่ก็แยกย้ายไปมีครอบครัวใหม่ จึงต้องไปอยู่กับยาย ในหมู่บ้านถือว่าบ้านของหลวงตายากจนที่สุด และมีปมในใจตั้งแต่เด็กว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อแม่ต้องเลิกกัน ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ก็ต้องทำงาน ไปจับปลาเอามากินประทังชีวิต ตอนเด็กก็น้อยใจว่าทำไมคนอื่นมีบ้านหลังใหญ่ มีเงินซื้อขนมกิน มีเสื้อผ้าสวยๆ รองเท้าแทบจะไม่ได้ใส่ ถ้าจะมีก็คือไปเก็บที่เขาทิ้งแล้วมาใส่ ด้วยความที่จนมากจึงไม่ค่อยมีเพื่อน หากจะมีก็คือเป็นรุ่นพี่ที่อายุห่างกันเป็นสิบปี ทำให้โตเกินอายุ

 

ต้นทุนชีวิตต่ำ เริ่มอาชีพแรกในบ่อนและซ่อง

โตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นก็ไม่เคยมีแฟนเลยสักครั้ง ไม่เคยอกหัก เพราะไม่กล้าไปจีบใคร ไปรักใคร เจียมตัวว่ายากจน คงไม่มีใครอยากจะมาลำบาก จนอายุประมาณ 13-14 ปี ก็ได้เข้าไปทำงานในบ่อน ช่วยเสิร์ฟน้ำ ทำนู่นทำนี่เพราะชีวิตไม่มีต้นทุนอะไร และเมื่อมีบ่อนก็ต้องมีซ่องเพราะเป็นของคู่กัน หลวงตาสินทรัพย์เลยได้เข้าไปทำงานซ่อง แม้รอบตัวจะเต็มไปด้วยอบายมุขแต่ก็ไม่ได้ทำตัวเหลวแหลก และได้เรียนรู้ชีวิตหลายคนจากตรงนั้น

 

เดินทางผิด จนติดคุกในคดีอุกฉกรรจ์

ต่อมาปี 2521 ก็เข้าสู่วงการนักเลง ไม่ใช่ไปกินเหล้าหาเรื่องใคร แต่หนักถึงขั้นปล้นจี้ชิงทรัพย์ แล้วโดนจับที่อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ในคดีจับคนไปเรียกค่าไถ่ พ่อแม่ไม่มีเงินประกันตัวสู้คดี เลยต้องติดคุกตอนอายุ 15 ศาลตัดสินให้จำคุกสิบกว่าปีเพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์ แต่ติดจริงประมาณ 3 ปีเพราะความประพฤติดีได้อภัยโทษ วันแรกที่ได้เหยียบโลกภายนอกก็บอกกับตัวเองว่าจะไม่กลับเข้ามาอีกแล้ว แล้วก็ยังคงกลับไปทำงานในบ่อน ตามคาเฟ่ต่างๆ โดยยังไม่คิดว่าจะบวชเลย

 

พบรักครั้งแรกในชีวิต เก็บกระเป๋าก้าวเท้าสู่เมืองกรุง

พออายุ 19 ปี ก็ได้พบรักครั้งแรกกับ "จิ๋ว" สาวรุ่นน้องจากการแนะนำของรุ่นพี่ อยู่ด้วยกันไม่ถึง 5 เดือนก็เลิกเพราะทะเลาะกันบ่อย และฝ่ายหญิงก็ไปชอบผู้ชายอีกคน ตนก็เลยขอเสียสละแยกทางไปเอง พอเลิกกับแฟนพ่อแม่เลยให้เงินมา 400 บาท เอาติดตัวมาหางานทำที่กรุงเทพฯ ในปี 2526 เริ่มจากรับจ้างขัดรองเท้าแถวสำโรง สมุทรปราการ ก่อนจะมาล้างจานแถววงเวียนใหญ่ในร้านราดหน้า ข้าวขาหมู เถ้าแก่เห็นตนเป็นนักเลงไม่กลัวใคร ตนเลยมีหน้าที่เคลียร์กับพวกลูกค้าที่ชอบมาอวดเบ่งหาเรื่อง จากนั้นมาเลยตามติดเถ้าแก่ไปไหนมาไหนด้วยตลอด

 

ชีวิตครอบครัวที่หนีตามกันมาจนแม่ยายใจอ่อน

แต่วันหนึ่งตนไปมีเรื่องกับเจ้าถิ่นขาใหญ่ ทำให้ต้องหนีมาอยู่แถวสวนส้มย่านคลอง 13 ปทุมธานี ก่อนจะไปพบรักกับภรรยา ซึ่งตอนไปสู่ขอมีเงินติดตัวแค่ 1,100 บาท แต่แม่ยายเรียกเงิน 30,000 ทองคำอีก ตนเลยกลับเพราะเงินไม่พอ แต่แฟนก็หนีตามกลับมาด้วย จากนั้นจึงพากันไปขอขมา ก่อนที่แม่ยายจะใจอ่อนยอมรับสินสอด 800 บาท หลวงตาครองรักกับภรรยาคนนี้จนมีลูกด้วยกัน 2 คน แต่ด้วยนิสัยเจ้าชู้ทำให้มีผู้หญิงเข้ามาเรื่อยๆ

 

หันหลังให้โลก เข้าสู่ทางธรรมแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่ต้องสึกตามคำสั่งพระอาจารย์

พออยู่มาวันหนึ่งตื่นมาแล้วรู้สึกว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี ผ่านอะไรมาหลายอย่างแล้ว จนกระทั่งปี 2542 หลานชายติดยา ครอบครัวเขาอยากจะให้บวช เลยมาขอร้องตนให้ช่วยบวชเป็นเพื่อนหลานสัก 3 เดือน แต่วัดแถวนั้นไม่ยอมเพราะชื่อเสียงตนไม่ค่อยดี เลยถูกส่งมาบวชครั้งแรกที่วัดป่ากุง จ.ร้อยเอ็ด เมื่อปี 2542 ตอนที่เดินเข้ามาฝนวัดก็รู้สึกเกิดอัศจรรย์บางอย่างในใจ เห็นกิริยามารยาทของพระ ญาติโยม และความศรัทธาที่มีต่อหลวงปู่เจ้าอาวาส ก็เกิดความสนใจว่าทำได้อย่างไร เมื่อครบ 3 เดือนหลานได้สึก แต่ตนไม่ได้สึกเพราะเจ้าอาวาสไม่ยอม ขอกี่ครั้งก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมสึกให้ เพื่อนที่เป็นพระเลยชวนไปออกธุดงค์ก็รู้สึกอิ่มเอมใจ กลับมาก็ถูกส่งไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดป่าภูถ้ำนก จังหวัดมุกดาหาร ที่เป็นวัดร้าง ก่อนจะมีพระตามไปอยู่ด้วยทีหลัง แล้วก็ย้ายไปจำพรรษาตามวัดต่างๆ ทั้งในโคราช อุบลราชธานี บวชอยู่นาน 8 ปี แล้วก็สึกในปี 2550 เนื่องจากพระอาจารย์สั่งให้สึกแล้วมาบวชใหม่ โดยบอกว่ามีวิบากกรรมที่จะต้องตามไปแก้ให้เสร็จสิ้นเพราะผัดผ่อนมาหลายชาติ ก็สึกวันนั้นเลยเพราะพระสายกรรมฐานจะเชื่อครูบาอาจารย์

 

กลับมาบวชใหม่ ตั้งใจปฏิบัติภาวนา ที่มาของฉายา พระสิ้นคิด

หลังสึกออกมาก็ไปทำอาชีพค้าขาย จนกระทั่งปี 2557 ก็รู้สึกอยากบวชอีกครั้ง จึงขอภรรยาก่อนจะมาบวชใหม่ที่วัดสาขาของหลวงปู่สี กับเจ้าคณะอำเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด ช่วงนั้นอ้วนมากจึงอดข้าวแล้วภาวนาบนเขาจนร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก จนต้องออกไปรักษาตัวจนหายดี หลังจากนั้นจึงตัดสินใจแยกออกมาอยู่ที่อุบลราชธานี เริ่มเปลี่ยนมาใช้ชื่อ “พระสิ้นคิด” โดยปลูกเพิงอยู่คนเดียวทำการเจริญอานาปานสตินานถึง 5 ปี แล้วมีคนมาพบแล้วถ่ายไปลงโซเชียลจนเริ่มมีคนรู้จัก เลยมาสร้างวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ดังที่เห็น ซึ่งตอนนี้หลวงตาสินทรัพย์มีผู้ติดตามจำนวนมากบนโลกออนไลน์ เพราะเทศน์แล้วสนุก เข้าใจง่าย มีอารมณ์ขัน และรู้จักหยิบประเด็นเด่นในสังคมมาเชื่อมโยงกับหลักธรรมคำสอน ทำให้ธรรมะดูสนุก ไม่น่าเบื่อ มีลูกศิษย์ให้ความเคารพหลากหลายวงการทั้งทหาร ตำรวจ นักธุรกิจ พ่อค้า ประชาชน รวมถึงศิลปินนักแสดง