กรณีมีผู้ใช้ทวิตเตอร์ตั้งข้อสังเกตว่า รถไถคูโบต้า รุ่น L3608 มีน็อต 2 ตัวที่โผล่ออกมาจากบริเวณข้างที่พักเท้า และสันนิษฐานว่ารูบนศพของน้องชมพู่ มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจากน็อต 2 ตัวของรถไถพ่ออนามัยหรือไม่
คลิกอ่านข่าว "น้องชมพู่" ทั้งหมดที่นี่
ล่าสุดวันที่ 7 ก.ย. 63 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้สำรวจรถไถของพ่ออนามัย พบว่ารถไม่มีน็อตดังกล่าวที่บริเวณข้างพักเท้า เนื่องจากได้มีการถอดแผนเหล็กบริเวณที่พักเท้าออก และไม่มีน็อตโผล่ออกมาอย่างที่โลกออนไลน์ได้ตั้งข้อสังเกต
โดยทีมข่าวได้จำลองขึ้นไปนั่งบนรถไถ และพบลักษณะน็อตที่คล้ายกับที่มีการตั้งข้อสังเกต อยู่บริเวณหลังพนักพิงของเบาะรถ ซึ่งทีมข่าวลองวัดน็อตทั้ง 2 ตัว พบว่าน็อตมีระยะห่างกันประมาณ 40 เซนติเมตร ส่วนบริเวณหลังพนักพิง มีความยาว 60 เซนติเมตร ความกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร ซึ่งทีมข่าวพบว่าเป็นช่องที่พอดีกับขวดน้ำขนาด 1 ลิตร แต่ไม่สามารถที่จะซุกซ้อนเด็กที่มีตัวใหญ่กว่าได้
ทีมข่าวได้จำลองขึ้นไปนั่งบนรถไถของนายอนามัย วงศ์ศรีชา พ่อของน้องชมพู่ รุ่นคูโบต้า L3608 ซึ่งจากการจำลองได้ให้ทีมข่าวขึ้นไปนั่งบนรถไถ และนำกระสอบตั้งไว้ที่บริเวณที่พักเท้าและใช้ผ้าคลุมเอาไว้ พบว่าสามารถตั้งไว้ได้ แต่จะมองเห็นได้ชัดเจน และสร้างความลำบากต่อการขับรถไถ
ต่อมาทีมข่าวได้ขอความร่วมมือจากคนในหมู่บ้าน ให้นำเด็กผู้หญิง วัย 5 ขวบขึ้นไปนั่งบนรถไถ โดยมีผู้ปกครองของเด็กอยู่ข้าง ๆ ด้วย ซึ่งได้จำลองให้เด็กขึ้นไปนั่งอยู่ที่พักเท้ารถไถ พบว่าเด็กสามารถนั่งได้ แต่จะเกิดอุปสรรคในการขับรถไถ เพราะเด็กจะนั่งขวางบริเวณคลัชและคันเร่งของรถไถ
นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา ให้ข้อมูลว่า กรณีที่มีคนบอกว่าตำรวจเคยพูดตั้งแต่ 2 เดือนแรกว่า ถ้าจับคนร้ายไม่ได้และจะมีการพักคดีนั้น ตนยืนยันว่าตำรวจไม่เคยพูดเรื่องการพักคดีกับเราเลย อีกทั้งตำรวจก็ยังมาให้กำลังใจอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งวันนี้ตอนช่วงเช้า ตำรวจชุดสืบสวนก็ได้มาบอกกับตนว่าให้สู้ ๆ ตำรวจยังอยู่ในพื้นที่ และยังคงทำงานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งตั้งแต่เกิดเรื่องตนก็ไม่กลัวว่าตำรวจจะพักคดี เพราะยังคงเห็นตำรวจอยู่ในพื้นที่ และตนก็ยังติดต่อกับตำรวจอยู่ตลอด
นายไชย์พล วิภา ลุงของน้องชมพู่ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีพยานกลับคำนั้น ตนมองว่าตำรวจได้เก็บพยานหลักฐานไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ซึ่งตนเชื่อว่าข้อมูลช่วงแรกคงเป็นหลักฐานได้เป็นอย่างดี แม้เวลาผ่านไปถึง 4 เดือน แต่คำให้การเหล่านั้นก็ยังมีผลอยู่ อย่างไรก็ตาม สำหรับการพักคดีนั้นตนคงย้ำว่ามันเป็นหน้าที่ของแม่น้องชมพู่ จะตัดสินใจอย่างไร
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ลงพื้นที่หมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ไปพูดคุยกับนายประวิทย์ วะไลใจ ชาวบ้านกกกอก เกี่ยวกับกรณีพยานเท็จ และกรณีที่อาจจะมีพยานกลับคำให้การ ว่าจะมีผลต่อคดีหรือไม่
โดยนายประวิทย์ เปิดเผยว่า ถ้าวันหนึ่งพยานในหมู่บ้านกกกอกกลับคำให้การ ตนมองว่าแค่ปากเดียวกลับคำก็คงไม่มีผลอะไร ซึ่งตนยกตัวอย่างพ่อแบม ที่ให้การเรื่องเจอลุงพล แม้ว่าเวลาที่เจอจะไม่ตรงกัน แต่ก็ไม่สามารถทำให้คดีพลิกหรือทำให้ลุงพลเป็นคนร้ายได้ ซึ่งเขาแค่ให้การตามความเป็นจริง แต่พ่อแบมก็อาจจะจำเวลาคลาดเคลื่อน อีกอย่างพ่อแบมก็ไม่ได้ไปใส่ร้ายลุงพลว่าเป็นคนอุ้มเด็กขึ้นเขา เพราะฉะนั้นตนมองว่าแค่คำให้การของชาวบ้านไม่ได้ทำให้คดีพลิกทั้งหมด เพราะยังมีองค์ประกอบอีกหลายส่วน
นายประวิทย์ กล่าวต่อว่า กรณีที่แม่น้องชมพู่ยืนยันว่าอยู่กับลุงพลในช่วงจับ GPS และหลังจากนั้นก็แยกกับลุงพล ตนก็มองว่าไม่ได้มีผลต่อคดี เพราะแม่ชมพู่ก็พูดตามความเป็นจริง เนื่องจากหลังจากจับ GPS เขาก็แยกกันจริง ๆ ในส่วนนี้แม่ของน้องชมพู่ก็แค่ไม่เห็นว่าลุงพลไปทำอะไรหลังจากแยกกัน และแม่ชมพู่ก็ไม่ได้ไปกล่าวหาลุงพลว่า เป็นคนอุ้มน้องชมพู่ไป
อย่างไรก็ตาม ตนมองว่ากรณีที่มีคนตั้งข้อสงสัยเรื่องการจ้างพยานเท็จเป็นเงิน 4 แสนบาท เพื่อให้ใส่ร้ายลุงพล ซึ่งหลายคนก็มุ่งไปทางพ่อแบม ตนก็มองว่าไม่เป็นความจริงและตนก็ไม่เชื่อ เพราะพ่อแบมเป็นคนที่บอกแค่ว่า เจอลุงพลตั้งแต่เริ่มต้น และลุงพลก็บอกว่า เจอกันจริงแต่คลาดเคลื่อนเรื่องเวลา ซึ่งก็ไม่ใช่การให้การเท็จ เพียงแต่ทุกคนจำเวลาไม่ได้ เพียงแต่ประมาณเวลา อีกทั้งพ่อแบมก็ไม่ได้ไปใส่ร้ายว่าลุงพลเป็นคนผิด
หากพยานจะกลับคำ แล้วรูปคดีจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ทนายรัชพล บอกว่า "ไม่มีผลต่อคดี" แม่น้องชมพู่ บอกว่า "ไม่ขอตอบ" ด้านลุงพล บอกว่า "ไม่มีผลต่อคดี" และนายประวิทย์ บอกว่า "ไม่มีผลกับคดี"
Advertisement