อัจฉริยะ ชี้รอดูเฟส 3 คดีทนายตั้ม บอกทนายสายหยุดเป็นคนดี แนะถอนตัวให้ ทนายเดชาทำแทน ฉะไร้มารยาทนำพยานไปกองปราบฯ
วันที่ 12 พ.ย. 67 ที่จ.สมุทรสาคร นาย อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กล่าวถึงคดีเงิน 39 ล้านบาทของนาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ว่า
วันนี้มีการออกหมายจับ นายนุกับ น.ส.สารินี ที่เป็นตัวละครสำคัญ ตัวหลอก น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ พี่อ้อย เรื่องเงิน 39 ล้านบาท แต่มันไม่ได้มีแค่นี้ เดี๋ยวจะมีอีก ตนเชื่อว่ายังมีเฟส 3 อีก ไม่ได้มีแค่ นายนุกับ น.ส.สารินี ยังมีคนรับจ้างที่มาขนกระเป๋า ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นตำรวจหรือทหาร แต่มีลักษณะหัวเกรียน และยังมีเครือญาตของ ทนายตั้มอีกที่ต้องโดนข้อหาฟอกเงิน
นาย อัจฉริยะ กล่าวต่อว่า ตนทราบว่า ทนายตั้มถอนเงิน 39 ล้านบาทในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว จะต้องมีการประสานสำนักงานใหญ่ เพื่อที่จะมาถอนเงิน ซึ่งก็ต้องดูว่าใครเป็นคนประสาน พร้อมกันนี้ในวันที่ 15 พ.ย. ตนจะเป็นพยานในคดีนี้ รวมถึงทุกคดีระหว่างทนายตั้มกับพี่อ้อยให้กับกองปราบฯ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าบ้านของทนายตั้มไม่ได้มีแค่หลังนั้นเพียงหลังเดียว มีอยู่หลายหลั งเพราะตนเคยเข้าบ้านทนายตั้มมาแล้ว รู้ว่าทนายตั้มมีบ้านกี่หลัง และทรัพย์สินถ้าซ่อนไว้นั้น จะซ่อนไว้ที่ใคร ซึ่งก็เป็นญาติ เพราะทนายตั้มไม่ไว้ใจคนนอก
พร้อมกันนี้ตนได้บอกให้ทนายสายหยุด เพ็งบุญชู เลิกทำคดีความให้กับทนายตั้มและ ให้ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ไปทำเอง เพราะทนายเดชากับ ทนายรัชพล ศิริสาคร รู้ทุกเรื่อง ให้ทนายเดชาและทนายรัชพลไปเป็นทนายความให้กับทนายตั้มดีกว่า เพราะว่าทนายสายหยุดเป็นคนดีเกินไป และเป็นคนตรงเกินไป เพราะไม่เช่นนั้นสิ่งที่ทำมาตลอดชีวิตของทนายสายหยุด ก็จะถูกด้อยคุณค่า ตนแนะนำไปว่าน้องถอนเถอะ ถอนตัวตอนนี้ก็ยังไม่สาย เพราะตนเชื่อว่าทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับพี่อ้อย เป็นการฉ้อโกงมาทั้งหมด ไม่ใช่คดีแพ่ง ซึ่งแชตไลน์ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ มันต้องดูพฤติการณ์แห่งคดี การสอบปากคำไม่ได้สอบปากคำเพียงแค่แชตข้อความ เพราะต้องมีการสอบพยานบุคคล พยานสิ่งแวดล้อม ยานนิติวิทยาศาสตร์ต่างๆ มาประกอบ ไม่ใช่ว่ามีแชตเด็ดทีเดียว มีคนเห็นแชตแล้วบอกว่าพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้า มันไม่ได้หรอก ตนเชื่อว่าไม่ใช่แค่ดูแชตแล้วบอกว่าเป็นคดีแพ่ง
นาย อัจฉริยะ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ ก็มีแชตอยู่แล้ว ทั้งของทนายตั้มและของพี่อ้อย ดังนั้นไม่มีผลอะไร ถ้ามีผลแล้วศาลจะออกหมายจับทำไม คุณจะสู้อะไร เพราะเสน่หาคุณก็ไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้คุณจะมาสู้เรื่องแพ่งว่าเป็นการเอาเงินมาลงทุน โดยที่ทนายตั้มเป็นคนลงทุนฝ่ายเดียว มันไม่ใช่เจตนารมย์ของกฎหมาย ต้องดูให้ดีว่าปกปิดข้อความอันเป็นเท็จในการหลอกลวง เพื่อวัตถุประสงค์อะไร เพราะต้องการทรัพย์สินของผู้อื่น
“ผมยืนยันว่าทนายเดชามั่ว จะเอาอะไรกับคนแบบนี้ แล้วมาบอกว่าจะเอาพยานมายืนยัน ถามว่าเป็นหน้าที่ของทนายเดชาเหรอ มันเป็นหน้าที่ของทนายสายหยุด เพราะสายหยุดเป็นทนายความที่ทนายตั้มแต่งตั้งมา ไม่ใช่ทนายเดชา ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทนายเดชาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดี คุณต้องให้เกียรติทนายสายหยุด เพราะเป็นเจ้าของสำนวน โดยมารยาทแล้วต้องให้ทนายสายหยุดเป็นคนพาพยานไปให้เจ้าหน้าที่กองปราบฯ ทำการสอบสวน ไม่ใช่ทนายเดชามาออกข่าวแล้วบอกว่าจะพาพยานไป ถามว่าแล้วแบบนี้ทนายสายหยุดจะทำยังไง มันถูกต้องแล้วเหรอ ผมเห็นหลายครั้งแล้วที่ทนายเดชาพยายามทำแบบนี้ ในการข้ามของคนที่เป็นเจ้าของสำนวน ที่ตามมารยาทเขาไม่ทำกัน”
นาย อัจฉริยะ กล่าวว่า ทั้งนี้ที่พยายามบอกว่า คดีของทนายตั้ม ไม่ใช่คดีฉ้อโกงประชาชน แต่เกี่ยวกับคดีฟอกเงิน เพราะไม่ได้มีการโฆษณาทางสื่อออนไลน์นั้น การที่ตำรวจทำคดีนี้เป็นฉ้อโกงประชาชน ก็ได้มีการปรึกษาอัยการ จนกระทั่งมีการเสนอศาลออกหมายจับ หากตัวบทกฎหมายฉบับนี้ไม่ถูกต้อง หรือชอบด้วยกฎหมาย คิดว่าองค์คณะผู้พิพากษาคงไม่มีทางที่จะออกหมายจับให้
อย่างไรก็ตามตนคิดว่าบั้นปลายของทนายเดชานั้น ไม่ต่างจากทนายตั้ม สุดท้ายขึ้นศาลก็แพ้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส เพราะคำว่าตบทรัพย์ที่ทนายเดชาไปโพสต์ ปฏิเสธไม่ได้ ถึงแม้จะบอกว่าเป็นสื่อยักษ์ใหญ่ ซึ่งที่คุณเขียนต่อมา คือเขียนถึงคนที่ไปปิดสนามบิน คนที่ล้มอดีตนายกฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนสามารถเดาได้เลยว่าเป็นนายสนธิ ดังนั้นทนายเดชาต้องหาคนที่อ้างว่าถูกตบทรัพย์มายืนยันต่อศาล เหมือนกับที่เขาเคยกล่าวหาตนว่าไปตบคนจีน สุดท้ายเขาก็มาขอโทษตนว่าเป็นการเข้าใจผิด การที่จะบอกว่าใครมีการตบทรัพย์ ก็ต้องหาพยานมายืนยันต่อศาล ไม่เช่นนั้นถือว่าเป็นการกล่าวหาเขา แล้วเป็นนักกฎหมาย ตนเชื่อว่าศาลจะไม่รอลงอาญา และเชื่อว่าคดีนี้นายสนธิชนะ 1,000,000 % วันนี้ยังไม่สาย ถ้าเป็นตนจะไปหานายสนธิ เพื่อขอคุยกันและขอโทษที่ล่วงเกิน
Advertisement