วันที่ 13 ธ.ค.67 ที่ หน้าอาคารประชาอารักษ์ กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง น.ส.ณภาภัช อัญชสาณิชมน (สจ.จอย) ภรรยา นายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ สจ.โต้ง และครอบครัว พร้อมด้วย “ทนายเอี้ยง” นิติศักดิ์ มีขวด และ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้ายื่นหนังสือต่อพล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อขอให้โอนสำนวนคดีนายสุนทร วิลาวัลย์ กับพวกรวม 7 คนที่วางแผนร่วมกันฆ่า สจ.โต้ง จากสภ.เมืองปราจีนบุรี มาที่กองปราบฯ เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนคดีนี้ และร้องขอคุ้มครองพยานด้วยเนื่องจากเกรงจะไม่ปลอดภัย เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นผู้มีอิทธิพลอันดับ 1 ของจังหวัดปราจีนบุรี
น.ส.ณภาภัช หรือสจ.จอย บอกว่า ตอนนี้กลัวมากเพราะอยู่กันสองคนแม่ลูก จึงอยากโอนย้ายมาที่กองปราบฯ
เมื่อนักข่าวถามว่า สจ.โต้ง และโกทร มีเรื่องกันมานานแล้วใช่หรือไม่ สจ.จอย บอกว่า สจ.โต้ง จะเรียกโกทรว่าพ่อบุญธรรม และทำงานด้วยกันมานาน ดังนั้นการทะเลาะเบาะแว้งกันมีอยู่เรื่อยๆ แต่มันก็จบด้วยการกลับไปคุยกันดี แต่สิ่งหนึ่งที่วันนั้นพี่โต้งกลับไป ก็ด้วยคำว่า “พ่อบุญธรรม” รักเขามาก กลับไปตัวคนเดียว อาวุธปืนอะไรก็ไม่มี เข้าไปเพียงเพราะว่าจะไปส่งโกทร เข้านอน หลังจากที่คุยกันแล้ว ทะเลาะกันแล้วเหมือนทุกครั้งก็ไม่เกิดอะไรขึ้น
แต่วันนั้นที่พี่โต้งเข้าไป ได้เคลียร์ใจกันหมดแล้ว และกะว่าจะไปส่งโกทร เข้านอน ในบ้านก็ปิดประตูรั้วไม่ให้ลูกน้องพี่โต้งเข้าไป ซึ่งพี่โต้งเข้าไปคนเดียว แล้วเสียงปืนที่มันดังขึ้น มันจะมาจากพี่โต้งได้อย่างไร ในเมื่อพี่โต้งไม่ได้มีอาวุธปืนเลย จึงอยากให้โอนย้ายเรื่องมาที่กองปราบ เพราะเรารู้ว่าใน ปราจีนบุรี เราทำอะไรไม่ได้ดีที่สุด อยากจะให้ทางสอบสวนกลาง ช่วยเราเพราะว่าอย่างน้อย ๆ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่นี่ก็ช่วยเราเต็มที่
ส่วนจะเป็นการบงการหรือไม่นั้น สจ.จอย บอกว่า “ไม่ทราบ” เพราะอยู่ในบ้านของเขา แต่การที่พี่โต้งเข้าไปในบ้านเขาคนเดียวด้วยความไว้ใจ กลับถูกยิงเข้าหน้า ยิงเข้าหัว ใครเป็นคนทำ และถือเป็นการกระทำที่มันโหดร้ายเกินไป ซึ่งพี่โต้ง ไม่ได้ต่อสู้เลย และประตูบ้านถูกล็อกหมด ซึ่งปกติเวลาพี่โต้งเข้าไปบ้าน ก็จะไม่มีลูกน้องเข้าไปด้วย เพราะเป็นพื้นที่ส่วนตัว ถือว่าปลอดภัย และไว้ใจ
ส่วนการทะเลาะกันถึงขั้นโกทรเสียน้ำตานั้น สจ.จอย บอกว่า เท่าที่คนไปด้วยเล่าให้ฟังเป็นเรื่องจริง พี่โต้งก้มกราบเท้าแล้ว เคลียร์ใจกันแล้ว แต่ช่วงจังหวะที่พี่โต้งออกมาแล้ว ก็คือฝากโทรศัพท์ไว้กับลูกน้อง จะกลับขึ้นไปส่งโกทรเข้าบ้าน เพื่อไปส่งโกทรเข้านอน คนในบ้านปิดประตูรั้วรีโมท ไม่ให้คนข้างนอกเข้า
ขณะที่นายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า ตนในฐานะที่รับผิดชอบคดีนี้ให้ สจ.โต้ง เพราะสจ.โต้งได้บอกตนก่อนที่จะเสียชีวิต ซึ่งตนก็ได้เตือนสจ.โต้งมาโดยตลอด 1 เดือนเต็ม ยืนยันว่าสิ่งที่ตำรวจบางคนพูดว่าสจ.โต้ง ขึ้นไปข้างบนแล้ว และถูกยิงจากข้างบนลงมาไม่ใช่ แต่สจ.โต้ง เพียงแค่ก้าวบันไดแค่ 2 ขั้น ก็ถูกยิงแล้ว ยังไม่ได้ขึ้นไปส่งโกทรในห้องนอน โดยถูกยิงจากข้างหน้า พอเสียชีวิตก็มีการยิงซ้ำ
ส่วนอีก 2 คน คือหลานชายโกทร และสามีครูโอ๊ะ ที่ตำรวจอ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง นายอัจฉริยะ บอกว่า ทั้งคู่มีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน เพราะหลังจากที่เสียชีวิตแล้ว มีการเปิดประตู ลูกน้องสจ.โต้งได้เข้าไป แต่ก็ถูกปืนจี้ไม่ให้เอาศพออก และให้ออกไป และหลานโกที ก็ล็อกประตูทุกด้าน ไม่ให้ลูกน้องสจ.โต้งเข้าไปในที่เกิดเหตุ
นายอัจฉริยะ ยังบอกอีกว่า ตนไม่อยากให้ สจ.จอยสอบปากคำที่ สภ.เมืองปราจีนบุรี และพยานของเราบางปาก อยากให้มาสอบที่กองปราบปรามมากกว่า เพราะยังมีอะไรอีกเยอะ แม้กระทั่งคนที่บันทึกคลิปเสียงให้สจ.โต้ง ก็เป็นบุคคลสำคัญที่รู้เห็นเหตุการณ์ จึงอยากให้กองปราบปรามเป็นผู้สอบปากคำมากกว่า
ส่วนคลิปที่มีการเผยแพร่ในโซเชียล ขณะนี้ สจ.จอย ยืนยันว่าเป็นคลิปที่เกิดขึ้นในวันเกิดเหตุ ซึ่งเป็นตอนที่ทะเลาะกันก่อนที่จะมีการกราบเท้ากัน ยืนยันไม่ใช่เป็นการโทรคุยแต่เป็นการคุยกันต่อหน้า ที่บ้านโกทร
ขณะที่อัจฉริยะ กล่าวเสริมว่า สจ.โต้งได้โทรไลน์ หาผู้ใหญ่คนหนึ่ง และเปิดให้ผู้ใหญ่ฟังในระหว่างที่มีการทะเลาะกัน และผู้ใหญ่ก็เลยมีการบันทึกเสียงเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐาน ซึ่งเรารู้ว่าผู้บันทึกเสียงเป็นใคร แต่ไม่สามารถบอกได้ ต้องปกปิดเป็นความลับเพราะว่าเป็นเรื่องสำคัญ และยังมีพยานอีกเยอะที่ต้องเก็บไว้แต่เราจะให้ปากคำเฉพาะกองปราบปรามเท่านั้น
ซึ่งการที่สจ.โต้ง โทรไลน์ เนื่องจากวันนั้นไม่มี ใครอยากให้สจ.โต้งเข้าไปในบ้าน เพราะรู้อยู่แล้วว่าเข้าไปต้องโดนอะไร
Advertisement