เปิดคำรับสารภาพ "ไอ้โน๊ต" สังหารโหดพ่อแม่ลูก แค้นไม่ให้ยืมเงินแสน

เปิดคำรับสารภาพ "ไอ้โน๊ต" สังหารโหดพ่อแม่ลูก แค้นไม่ให้ยืมเงินแสน ออกอุบายลวงก่อนคว้าปืนโป้งหัว "วงศกร" จากนั้นปิดปากลูกเมีย พร้อมเอาทองไปขาย 

จากกรณีพบ 3 ศพพ่อแม่ลูก ที่หายตัวปริศนาหลังวันเด็ก (12ม.ค.68) ถูกยัดใส่รถกระบะคลุมด้วยผ้าคลุมรถจอดทิ้งไว้บ้านร้างริมถนนพหลโยธิน (ขาขึ้น) พื้นที่ ม.10 ต.คลองขลุง อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร โดยมีผู้พบเห็นเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งญาติให้ข้อมูลว่า ผู้ตายมีอาชีพ ทั้งค้าขาย-ให้เช่าเครื่องเสียง-ปล่อยเงินกู้-เล่นแชร์วงใหญ่ ส่วนผลการชันสูตรทั้งสามศพ เบื้องต้นพบบาดแผลจากรอยกระสุนที่ศีรษะทั้ง 3 ราย 

คอนเทนต์แนะนำ

เตือนภัย "วาเลนไทน์" ระวังตกเป็นทาสความรัก 6 มุกมิจฉาชีพลวงหลอก

เจ้าอาวาส เผย ไอ้โน๊ต ฆาตกร3ศพ เคยขอยืมเงินแต่ไม่มีให้

แม่น้อง 10 ขวบเหยื่อถูกชำเรา แจ้งลูกสาวอาการทรุด

จนต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวผู้ต้องสงสัยไปสอบเข้มที่โรงพักแล้ว และอยู่ระหว่างการหาหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อออกหมายจับ เนื่องจากเชื่อว่าผู้ก่อเหตุไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียว ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ 

สำหรับความคืบหน้าคดีดังกล่าว เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 15 ก.พ. 68 ที่ สภ.คลองขลุง เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงคุมตัวต้องสงสัยทั้ง 2 รายไว้ยังห้องสืบสวน คือ 1.นายศิวกร หรือ โน๊ต (สงวนนามสกุล) คาดว่าเป็นผู้ลงมือยิง 2.นายนิรุตย์ หรือ เข้ (สงวนนามสกุล) คาดว่าเป็นผู้ร่วมกันซ่อนเร้นอำพรางศพ 

โดยจังหวะนึงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัว นายศิวกร กลับเข้าห้องสืบสวน หลังจากพาไปชี้จุดทิ้งปืนตั้งแต่หัวรุ่งที่ผ่านมา พบว่าเจ้าตัวสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้มีความกังวลใจอะไร 

ทั้งนี้ทีมข่าวได้รับข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการมาว่า นายศิวกร อ้างว่าตัวเองโกรธแค้นที่ก่อนหน้านี้ นายวงศกรผู้ตาย เคยรับปากจะให้ยืมเงิน 100,000 กว่าบาท ซึ่งจะนำไปลงทุนซื้อโดรนทางการเกษตรตัวใหม่ เพราะเจ้าตัวประกอบอาชีพรับจ้างบินโดรนเพื่อการเกษตรอยู่แล้ว พร้อมกับอ้างว่าเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้เป็นการวางแผน แต่เป็นเหตุซึ่งหน้า และขณะก่อเหตุฆ่า 3 ศพนั้น เป็นการกระทำเพียงแค่คนเดียว 

ด้วยความไว้ใจ และเชื่อว่ายังไงก็จะได้เงินแสนนั้น ก็เลยลงทุนซื้อของไปแล้ว แต่สุดท้ายนายวงศกรผู้ตายกลับนิ่งเฉย ไม่ทำตามที่รับปากไว้ ที่ผ่านมาจึงทวงถามตลอด แต่ก็ไม่เป็นผล 

คืนนั้นจึงออกอุบายด้วยการโทรไปหาผู้ตายให้ออกรับเงินที่ตัวเองเตรียมไว้สำหรับไถ่ปืนบีบีกันคืน โดยนัดไปเจอที่จุดเกิดเหตุ ผู้ตายจึงเปลี่ยนแผน เดิมที่หลังจากกดเงินเสร็จจะพาครอบครัวกลับบ้าน ก็ได้มีการเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปยังจุดเกิดเหตุแทน ตามภาพวงจรปิด 

เมื่อไปถึง ตัวของนายศิวกรก็ไม่ได้มีการจะไถ่ปืนบีบีกันคืน แต่กลับทวงถามเงิน 100,000 กว่าบาท ที่ตัวของนายวงศกรเคยรับปากจะให้ยืม จนทะเลาะมีปากเสียง ถึงขั้นลงไปชกต่อยกันนอกรถ เพราะตัวของนายศิวกรก็ยังไม่ยอมให้ตามที่เคยรับปาก ซึ่งจังหวะนั้น น.ส.นันทกานต์ กับลูกชายวัย 7 ขวบก็ลงจากรถมา เพื่อพยายามห้ามปรามแล้ว 

แต่เมื่อนายศิวกรเริ่มสู้ไม่ได้ จึงวิ่งไปหยิบปืนที่เคยจำนำไว้ ซึ่งวางบริเวณเบาะคนขับในรถกระบะพอดี แล้วใช้จ่อยิงศีรษะนายวงศกร จำนวน 1 นัดจนเสียชีวิตเข้าบริเวณศีรษะฝั่งขวา ต่อหน้าลูกและเมีย โดยเมียตะโกนถามว่า “ยิงเขาทำไม” ขณะที่ลูกเรียก “พ่อ” ด้วยความตกใจ 

แล้วนายศิวกรก็โทรศัพท์ตามนายนิรุตย์ หรือ เข้ ให้มาหาตรงจุดเกิดเหตุ โดยเมื่อ นายเข้ ขี่รถจักรยานยนต์มาถึง ก็โดนนายศิวกรใช้ปืนยังคับให้ช่วยกันยกศพนายวงศกรขึ้นไปวางไว้ที่เบาะหลังของรถกระบะ เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว นายนิรุตย์ก็ขี่รถจักรยานยนต์ออกจากจุดเกิดเหตุไป 

จากนั้นนายศิวกรใช้ปืนบังคับให้ น.ส.นันทกานต์กับลูกชาย 7 ขวบ ขึ้นไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ โดยผู้เป็นแม่ได้กอดลูกไว้ในอ้อมอกแน่น แต่จังหวะนั้นนายศิวกร อ้างว่า น.ส.นันทกานต์พยายามจะแย่งปืน ทำให้ปืนลั่นไปโดนศีรษะของลูกชายวัย 7 ขวบ 1 นัด แล้วตัวของ น.ส.นันทกานต์ ก็กรีดร้องด้วยความตกใจ 

ด้านนายศิวกรก็กลัวว่าหากไม่ฆ่าทั้งหมด จะมีคนไปเป็นพยานชี้ตัว แล้วสาวมาถึงตัวเอง จึงจำเป็นต้องยิงหัว น.ส.นันทกานต์ ด้วย 1 นัด เพราะรู้จักหน้าคร่าตากันดีทั้งหมด ด้วยพฤติการณ์นี้สภาพศพของลูกจึงอยู่ในลักษณะตายคาอ้อมกอดแม่ 

หลังจากที่ก่อเหตุเสร็จแล้วนายศิวกร ได้นำทองที่ตัวของผู้ตายพร้อมเงินสดออกมาเก็บไว้ที่ตัวเองทั้งหมด แต่ด้วยความสติแตก อ้างว่าทำอะไรไม่ถูก ก็เลยขับรถของคนตายออกจากจุดเกิดเหตุไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 กม. จนกระทั่งเลี้ยวเข้าบ้านร้างใกล้ สภ.คลองขลุง เพระรู้ว่าตรงนั้นเป็นบ้านร้างมานาน  เมื่อจอดรถแล้วก็เอาผ้าคลุมรถที่อยู่ในรถมาคลุมเอาไว้ เพื่อตบตาและอำพราง ก่อนจะหลบหนีไป 

ต่อมานายศิวกร ได้มีการนำทองของผู้ตายไปขายที่ร้านทองแห่งหนึ่ง โดยเจ้าของร้านมีการโอนเงินค่าทองให้ 100,000 กว่าบาท เข้าบัญชีนายศิวกร“ 

แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูลที่ได้จากการสอบปากคำพยานหลายปาก รวมถึงคำกล่าวอ้างของผู้ก่อเหตุและผู้ร่วมก่อเหตุ ดังนั้นข้อมูลพฤติการณ์โดยละเอียดจึงยังไม่เป็นทางการ แต่ที่แน่ชัดคือมีการออกหมายจับผู้ต้องหา 2 คนแน่นอน 

ขณะเดียวกันในช่วงเวลา 11.00 น. พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. จะเดินทางมาสอบปากคำผู้ก่อเหตุด้วยตนเอง พร้อมคุมตัวไปทำแผนประกอบคำสารภาพและแถลงข่าวปิดคดี