จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว นายศิวกร หรือ โน๊ต และ นายนิรุตย์ หรือ เข้ ในคดีฆาตกรรมพ่อแม่ลูก 3 ศพ คือ นายวงศกร อายุ 37 ปี น.ส.นันทกานต์ อายุ 35 ปีภรรยา และ น้องซันเดย์ อายุ 7 ขวบลูกชาย หลังทั้ง 3 คนหายตัวไปตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา งก่อนมีชาวบ้านไปพบรถกระบะจอดอยู่ในบ้านร้าง โดยทั้ง 3 คนถูกยิงที่หัวเสียชีวิต ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
ต่อมาเวลา 13.00 น. วันที่ 15 ก.พ. 68 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัว นายศิวกร และ นายนิรุตย์ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยขณะที่คุมตัวออกจากห้องประชุม เพื่อขึ้นรถตู้ตำรวจ ทีมข่าวพยายามสอบถามทั้งคู่ว่าอยากจะขอโทษคนตายไหม? แล้วทำไมถึงกล้าฆ่าเด็ก 7 ขวบได้ลงคอ? ทำไมเมื่อวานถึงยังปากแข็งว่าไม่ใช่ผู้ต้องหา? แต่ทั้งคู่ไม่ตอบอะไร ก่อนจะขึ้นรถตู้ไป
ขณะเดียวกันบรรยากาศที่โรงพัก ก็เต็มไปด้วยญาติของคนตายและชาวบ้านนับร้อยที่เดินทางมาสังเกตุการณ์ ต่างก็ตะโกนถามว่าทำไมถึงฆ่าเด็กได้ลงคอ และด่าทอใส่ผู้ก่อเหตุ
เมื่อเดินทางไปยังจุดที่ 1 คือบริเวณบ้านร้างจุดพบศพ ก็ปรากฏว่าบรรดาครอบครัวคนตาย รวมถึงชาวบ้านนับร้อย ต่างก็พากันมารุมตะโกนด่าสาปผู้ต้องหาด้วยความคับแค้นใจ โดยเฉพาะ นายศิริชัยที่เป็นน้องชายของผู้ตายฝ่ายหญิง และเป็นเพื่อนของนายศิวกรก็พยายามที่จะเข้าไปหานายศิวกร ที่กำลังโดนคุมตัวทำแผนอยู่บริเวณบ้านร้าง แต่เจ้าหน้าที่กันไว้ทัน เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น
ซึ่งระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัว นายศิวกร ลงจากรถตู้ เพื่อเดินทางไปยังบริเวณบ้านร้างจุดพบศพ ทีมข่าวก็พยามสอบถามถึงสาเหตุในการฆ่าทั้ง 3 ศพเป็นเพราะอะไร? และการฆ่าเด็กเป็นเหตุปืนลั่นจริงหรือไม่? รวมถึงถามว่าอยากขอโทษผู้ตายหรือเปล่า? แต่เจ้าตัวก็ยังคงเงียบ ไร้ซึ่งคำขอโทษ
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้รถกระบะของตำรวจแทนรถของผู้ตายไปจอดตรงจุดพบรถกระบะ แล้วให้นายศิวกรจำลองเหตุการณ์ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าจุดนี้ทั้ง 3 คนได้เสียชีวิตหมดแล้ว ก็เลยทำการปลดสร้อยของ น.ส.นันทกานต์ ที่จุดนี้ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกจากจุดนี้ไปฝั่งซ้ายประมาณ 800 เมตร เพื่อให้ญาติมารับกลับบ้าน รวมถึงเป็นจุดที่เจ้าตัวเอาผ้าคลุมรถมาคลุมไว้ในวันที่ 17 ม.ค. 68 เพื่ออำพรางด้วย
ระหว่างนั้นทีมข่าวพยามสอบถามความรู้สึกกับเจ้าตัวตรงจุดนี้ ทั้งถามว่าอยากจะขอโทษไหม? และสาเหตุแรงจูงใจ เจ้าตัวได้แต่ยืนนิ่ง และมองกลุ่มผู้สื่อข่าวที่กำลังถาม แต่ไม่ได้ตอบคำถามใดๆ ท่ามกลางเสียงด่าทอของชาวบ้านและครอบครัวของผู้เสียชีวิตที่มายืนสังเกตการณ์
และกระทั่งเจ้าหน้าที่คุมตัวนายศิวกร กลับขึ้นรถตู้ทีมข่าวพยายามถามแล้วถามอีก แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตอบอะไร
ทั้งนี้ก่อนที่จะตำรวจจะคุมตัวนายศิวกรออกจากจุดบ้านร้าง พบว่าบริเวณริมถนนปากทางเข้าก็ยังคงเต็มไปด้วยกองทัพชาวบ้าน และญาติของผู้เสียชีวิตที่มายืนตะโกนด่า โดยเฉพาะความโกรธแค้นที่ผู้ก่อเหตุฆ่าเด็กได้ลงคอ และการตีเนียนกลับมาดูในวันพบศพด้วยท่าทีนิ่งเฉย ถือว่าจิตใจเหี้ยมโหดมาก และพยายามจะกรูเข้าไปดูหน้า แต่ตำรวจก็กันไว้ ก็เลยกลายเป็นเหตุชุลมุนขึ้น เพราะญาติบางส่วนก็ไม่พอใจที่โดนตำรวจกัน โดยบอกว่าตัวเองเสียหลานไปตั้ง 3 คน ยังไงก็ทำใจไม่ได้ อยากจะเข้าไปดูหน้าผู้ก่อเหตุเหลือเกิน
เช่นเดียวกับชาวบ้านที่มามายืนดูตรงจุดนี้ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เชื่อในคำให้การของนายศิวกร ที่อ้างว่าปืนลั่นใส่เด็ก มองว่าโกหก เป็นการตั้งใจฆ่าชัดๆ รับไม่ได้เลย เพราะทั้งหมดรู้จักกันกับผู้ก่อเหตุ อยากขอให้ผู้ก่อเหตุตายตามไปด้วย เพราะที่ผ่านมาผู้ตายช่วยเหลือผู้ก่อเหตุทุกอย่าง
ขนาดโจรทั่วไปยังมีจิตสำนึกที่จะไม่ฆ่าเด็ก แต่สำหรับนายศิวกรโหดเหี้ยมเกินไป ไม่คิดสงสารเด็กเลย แค้นมากจริงๆ อีกอย่างผู้ตายก็เป็นคนดี ก็เลยอยากให้ผู้ก่อเหตุทั้ง 2 คนรับโทษประหาร
ยิ่งตนจำได้ดีตอนที่ทุกคนมาดูจุดนี้ในเวลาพบศพ จำได้เลยว่า นายศิวกรมาด้วยและสีหน้านิ่งเฉย เหมือนไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ แต่ตนก็ไม่ได้แปลกใจเพราะนิสัยเดิมของ นายศิวกร เป็นคนชอบโกหกอยู่แล้ว
และระหว่างที่รถตู้ของตำรวจพาผู้ก่อเหตุออกมาจากบ้านร้าง ชาวบ้านก็ตะโกนด่าสาปตลอดทาง
ต่อมาจุดที่ 2 ที่มีการทำแผน คือบริเวณจุดพบเลือดกลางทุ่งนา ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ นายศิวกร ก่อเหตุยิง นายวงศกร ตามพฤติการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแถลง แต่เนื่องจากมีบรรดาครอบครัวและชาวบ้านมารอสังเกตการณ์เยอะ พร้อมกับมีการตะโกนด่าผู้ก่อเหตุเป็นระยะๆและเป็นพื้นที่โล่ง เจ้าหน้าที่เกรงว่าไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้จึงยกเลิกการทำแผนในจุดนี้ ก็เลยไม่ได้คุมตัวนายศิวกรลงจากรถ
ส่วนนายนิรุตย์ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้พาลงทำแผนในจุดนี้ แม้ว่าเจ้าตัวจะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงก็ตาม เพราะเป็นจุดที่นายศิวกรโทรให้เจ้าตัวมาช่วยยกร่างของนายวงศกร ขึ้นไปไว้ที่เบาะหลัง เนื่องจากนายนิรุตย์เปลี่ยนใจไม่ประสงค์ที่จะทำแผน เพราะกลัวจะถูกรุมประชาทันฑ์ และเจ้าหน้าที่ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
จุดนี้มีเพียงแค่ พ.ต.อ.เอนก จันทร์ศร รอง ผบก.ภ.จว.กำแพงเพชร เล่าพฤติการณ์จุดนี้ให้กับผู้สื่อข่าวฟังโดยสังเขป
โดยบอกว่าปืนที่ใช้ก่อเหตุเป็นปืนบีบีกันดัดแปลงซิกซาวเออร์ .380 โดย นายศิวกร ซื้อมาจากอินเตอร์เน็ตราคา 7,000 บาท และได้เอาไปจำนำกับนายวงศกร ในราคา 7,500 บาท
แล้วยังบอกอีกว่าจุดนี้ตัวของ น.ส.นันทกานต์ ได้มีการแย่งปืนจากนายศิวกร รอบแรก แล้วเขวี้ยงลงคลองเล็กๆ ใกล้กับจุดที่พบคราบเลือด แต่ตัวของนายศิวกร ลงไปหยิบกลับคืนมา และบังคับให้น.ส.นันทกานต์ กับลูกขึ้นรถไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ โดยใช้ปืนจี้
พร้อมกับระบุว่าเรื่องของการขายทองก็มีหลักฐานเป็นสลิปที่ทางร้านโอนเงินให้กับนายศิวกร ส่วนทองที่นายศิวกรได้ไปก็คือทองของ น.ส.นันทกานต์ผู้เสียชีวิต น้ำหนัก 3 บาท ขายได้เงินมา 123,500 บาท ทางร้านโอนให้ 120,000 บาท และอีก 3,500 บาทให้เป็นเงินสด
ขณะที่ นายสุพัฒน์ สุบิน ลูกพี่ลูกน้องของนายวงศกร ที่มาสังเกตการณ์ในจุดที่ 3 นี้ด้วย เจ้าตัวยอมรับว่าโกรธมาก แค้นมาก เพราะนายศิวกรก็เป็นเหมือนรุ่นน้องที่สนิทของตนเคยทำงานซ่อมรถด้วยกัน คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะเป็นผู้ก่อเหตุ และที่ทำให้ตนรู้สึกตกใจมากคือที่ผ่านมา นายศิวกรพยายามแชร์ข่าวและปล่อยข่าวมั่ว โดยการพยายามโยนความผิดให้กับนายศิริชัย ซึ่งรับไม่ได้แต่ตอนนี้ตนก็พยายามเก็บอารมณ์ตัวเองไว้ เพราะทำอะไรไม่ได้ ไม่อยากมีเรื่องกับตำรวจด้วย
ส่วนจุดอื่นๆ อาทิ จุดยิง น.ส.นันทกานต์ และลูก รวมถึงจุดยิงปืน เจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำแผน เนื่องจากเกรงว่าครอบครัวผู้ตาย และชาวบ้านจะตามมารุมประชาทัณฑ์
หลังจากนั้นเวลา 15.40 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงคุมตัว นายศิวกร และ นายนิรุตย์ กลับมายังโรงพักและคุมตัวเข้าห้องขัง โดยระหว่างนั้นทีมข่าวก็พยายามถามกับทั้งคู่ถึงแรงจูงใจอีกครั้ง รวมถึงอยากจะขอโทษและอยากจะพูดอะไรถึงผู้เสียชีวิตไหม? แต่ทั้งคู่ก็ยังคงเงียบไม่ปริปากพูดแม้แต่คำเดียว
ซึ่งเจ้าหน้าที่จะทำการฝากขังยังศาลจังหวัดกำแพงเพชร ในวันอาทิตย์ที่ 17 ก.พ. 68 ก่อนช่วงเวลา 12.00 น.
Advertisement