วันนี้ (18 ก.พ.68) ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท. พ.ต.ท.นิธิ ตรีสุวรรณ รองผกก.2 บก.ปอท. พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ มงคลการ สว.กก.2 บก.ปอท.ร่วมแถลงผลทลายเครือข่ายแกงฟอกเงินมังกรเทา โดยจับกุมผู้ต้องหา 10 คน แบ่งเป็นตัวการฟอกเงิน ชื่อ นางสาว อัจฉรา อายุ 27 ปี และชาวจีน 4 คนพร้อมคนไทย 5 คนทำหน้าที่เป็นบัญชีม้า ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันเป็นอั้งยี่และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
คดีนี้สืบเนื่องจากผู้เสียหายที่อยู่บ้านดูแลครอบครัว เกิดอยากมีรายได้เสริม จึงลองเสิร์ชหางานในโลกออนไลน์ จนกระทั่งไปเจอเว็บไซต์ที่โฆษณามีงานให้ทำ โดยมีงานให้เลือก 1.รับจ้างแพ็กของได้เงินภายในเวลา 1 สัปดาห์ 2.งานที่ทำปุ๊บได้เงินปั๊บ เป็นงานกดไลค์ กดแชร์ ผู้เสียหายจึงทำเลือกงานที่ 2 ได้เงินมา 60-800 บาท ซึ่งผู้เสียหายหลงเชื่อลองทำ ก่อนโดนชักชวนลงทุนทำงานที่รายได้ดีกว่านี้ กระทั่งผู้เสียหายหลงเชื่อ โดนหลอกลงทุนไป 60,000 บาท จึงมาแจ้งความร้องทุกข์กับทางตำรวจสอบสวนกลาง
จากนั้น ตำรวจขยายผลจนทราบว่าขบวนการฟอกเงินนี้เป็นแก๊งใหญ่ ที่ผู้ต้องหาแบ่งหน้าที่กันชัดเจน โดยมีพฤติการณ์ หลอกลวงเหยื่อที่นิยมชอบใช้สื่อโซเชียลมีเดีย การเช่าที่พัก รวมถึงการหางาน โดยอาศัยรูปแบบการทำงานที่ง่าย อาทิ กดไลค์ กดเพิ่มยอดผู้ติดตาม และได้เงินทันทีจึงทำให้เหยื่อหลงเชื่อ สนใจเข้าร่วมงาน เมื่อได้ลองทำงานแล้วในช่วงแรกปรากฏว่าได้รับเงินจริงจำนวนหลายครั้ง จากนั้นทางกลุ่มคนร้าย ได้ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมทำกิจกรรมลักษณะการทำกิจกรรมพิเศษ โดยต้องนำเงินมาลงทุน และได้รับผลตอบแทน 30% ถึง 50% โดยช่วงแรก ได้รับผลตอบแทนจริง จากนั้นเมื่อลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่สามารถถอนเงินออกจากระบบได้ โดยคนร้ายอ้างว่าผู้เสียหายไม่ทำตามขั้นตอนที่กำหนด
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ข้อมูลว่าแก๊งดังกล่าว ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ มีการยกย้ายถ่ายเทเงิน ที่ได้จากการกระทำความผิดเป็นทรัพย์สินดิจิทัล ก่อนจะถ่ายเทไปยังกระเป๋าดิจิทัลอีกหลายทอด จนกระทั่งพบว่ากลุ่มผู้ต้องหา ทำหน้าที่ฟอกเงินและแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลเป็นเงินสด เพื่อนำส่งให้กับกลุ่มจีนเทาภายในประเทศไทย เบื้องต้นพบมีผู้เสียหายประมาณ 60 รายมูลค่าความเสียหาย 10 ล้านบาทจากการขยายผลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถออกหมายจับ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 32 ราย ประกอบด้วยบัญชีม้าคนไทย 10 ราย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนจำนวน 2 ราย กลุ่มขบวนการฟอกเงินจำนวน 20 ราย ซึ่งมีทั้งชาวไทยชาวจีนและชาวเกาหลี
จากนั้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 68 ตำรวจได้ขยายผล ตรวจค้น 20 จุดใน 8 จังหวัด โดยจับกุมผู้ต้องหาได้ 10 ราย ซึ่งเป็นแก็งฟอกเงิน ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ภายในประเทศไทย จำนวน 5 ราย และเจ้าของบัญชีม้าอีก 5 ราย โดยตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินต่างๆรวม 210 รายการ มูลค่าทั้งหมดกว่า 440 ล้านบาท โดยนางสาวอัจฉรา เป็นตัวการฟอกเงินในประเทศไทย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่รับในข้อเท็จจริงว่า เมื่อปี 62 เคยทำหน้าที่เป็นล่ามและไกด์พาเที่ยวให้กับชาวจีน ต่อมาปี 66 ได้รู้จักกับแฟนหนุ่มชาวจีน และร่วมกันรับแลกเหรียญดิจิทัลจากลูกค้ากลุ่มจีนเทาต่างๆ ที่ต้องการใช้เงินในประเทศไทย จากนั้นได้นำเหรียญดิจิทัลมาขาย และนำมาแลกเปลี่ยน นำส่งให้กลุ่มจีนเทาตามคำสั่ง โดยจะได้ค่าบริการ 0.03 % ถึง 0.05% ของยอดเงิน
โดยขั้นตอนการทำงาน แฟนหนุ่มชาวจีน จะติดต่อกับกลุ่มจีนเทาต่างๆ จากนั้นตนและสมาชิกในแก๊ง ที่ได้รับเงินดิจิทัล โดยนำเหรียญดิจิทัลมาขายในรูปแบบ p2p ผ่านแพลตฟอร์ม Exchange โดยผู้ต้องหาจะส่งเงินตามคำสั่งของกลุ่มจีนเทา ซึ่งหักยอดเงินจำนวนไม่มาก ตนเองและแฟนหนุ่ม จะใช้วิธีการโอนเงินผ่านบัญชีขอไปให้ลูกค้า แต่ถ้าหากจำนวนเงินมากก็จะเบิกเงินสดนำไปส่งมอบให้ลูกค้า หรือ นำเงินสดเข้าบัญชีต่างๆ ตามคำสั่งของกลุ่มจีนเทา เนื่องจากกลุ่มจีนเทาต้องการใช้เงินในประเทศไทย
โดยนางสาวอัจฉราทำหน้าที่ฟอกเงินในปี 66 จนถึงปัจจุบัน โดยมีการรับเป็นสกุลเงินดิจิทัลสกุล USDT จำนวน 187 ล้านเหรียญ USDT คิดเป็นเงินไทยประมาณ 6,500 ล้านบาท และถอนเงินสดเป็นเงินไทย 2,900 ล้านบาท และยังมีการนำเงินที่ได้จากการกระทำผิดไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างๆ
สำหรับผู้ต้องหาลำดับที่ 2-5 เป็นผู้ต้องหาชาวจีนประกอบด้วย MR.GAO อายุ 35 ปี MR.XIONG อายุ 30 ปี MR.MAO อายุ 46 ปี MRS.ZHOU อายุ 44 ปี ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาแต่รับในข้อเท็จจริงมีส่วนร่วมกับผู้ต้องหาที่ 1 และกลุ่มคนจีนอื่นๆมีการแบ่งหน้าที่กันทำในการรับเหรียญดิจิทัลมา จากกลุ่มจีนเทามาเทขายเหรียญก่อนนำเงินสดส่งมอบให้ลูกค้า โดยคดีนอกจากพบความเกี่ยวข้องของเส้นทางการเงินที่มีการซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างๆ แล้วยังพบว่าขบวนการนี้มีพฤติการณ์ในการก่อตั้งบริษัทที่ให้คนไทยเป็นนอมินีในการจัดตั้งเพื่อรับโอนกรรมสิทธิ์บ้าน ภายหลังการโอนกรรมสิทธิ์จะเปลี่ยนกรรมการผู้มีอำนาจเป็นคนจีน ซึ่งบริษัทที่จัดตั้งขึ้นมาใช้เพื่อโอนกรรมสิทธิ์บ้านเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการดำเนินธุรกิจจริง
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีเงินไหลเข้าไปบริษัทอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 10 บริษัท ในย่านบางนา เอกมัย และฝั่งธนฯ ซึ่งใช้นอมินีสัญชาติไทย แต่กรรมการเป็นคนจีน ซึ่งหลังจากนี้ตำรวจจะต้องตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติม.
Advertisement