พยาบาลถูกตบหน้ายืนยันไม่ลาออก เพราะรักอาชีพนี้ เผยอาการบาดเจ็บล่าสุด
พยาบาลถูกตบหน้ายืนยันไม่ลาออก เพราะรักอาชีพนี้ พร้อมเผยอาการบาดเจ็บล่าสุด แก้วหูช้ำ มีเลือดออกที่หู ยังร้องไห้และมีอาการตกใจ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จากกรณีพยาบาลในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในจังหวัดระยอง ถูกญาติคนไข้ทำร้ายร่างกายด้วยการตบที่ใบหน้าอย่างหนัก 2 ครั้ง เนื่องจากห้ามไม่ให้นำเด็กเข้าเยี่ยมผู้ป่วย ซึ่งมีอาการติดเชื้อทางเดินหายใจ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 18.30 น. ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
วันที่ 19 ก.พ. ที่อาคารมาลีนนท์ ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ภรรยาผู้ก่อเหตุยอมรับที่สามีทำร้ายพยาบาลจริง ซึ่งตามบุคลิกของน้องปาย (พยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บ) เป็นคนร่าเริง แต่ตอนนี้มีความเครียดเกิดขึ้น คงต้องใช้เวลาในการเยียวยาจิตใจ
สำหรับการดำเนินคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามจบให้ภายในวันศุกร์นี้ และนำตัวผู้ต้องหาส่งฟ้อง เนื่องจากมีการทำร้ายร่างกายอย่างชัดเจน ซึ่งยังต้องดำเนินการต่อไปเรื่องของคดีความ แต่เรื่องการพูดคุยอาจต้องมาตกลงกันว่าจะทำอย่างไร หรือการจะมาขอโทษกัน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า และมองดูเจตนาของแต่ละฝ่าย เท่าที่ตนฟังมาตัวพยาบาลเองก็ยอมรับว่าเสียงดัง แต่ต้องดูบริบท เนื่องจากมันมีการตักเตือนกันมาถึง 2 รอบ โดยเจตนาของพยายาลคือความหวังดี เพราผู้ป่วยถือว่าเป็นขั้นวิกฤตจากไข้หวัดสายพันธุ์ A รวมถึงมีเชื้อลงปอดด้วย เป็นห่วงว่าหากเด็กได้รับเชื้อ
หลังจากนี้จะมีนโยบายให้ทุกโรงพยาบาลมีมาตรการให้เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ รวมถึงการฝึกยุทธวิธีด้วย อย่างน้อยได้ป้องกันตัวเอง ส่วนใหญ่คนที่โดนกระทำมักเป็นพยาบาลผู้หญิง ตนขอฝากเตือนว่าอย่าทำแบบนี้กับน้องพยาบาลเลย เพราะเขาก็มีหน้าที่ดูแลเรา หากวันหนึ่งพยาบาลรัฐเจอแบบนี้บ่อยๆ หากเขาย้ายไปอยู่กับเอกชนจะทำอย่างไร จะไม่มีคนดูแลพี่น้องอีก อยากให้เห็นใจ เพราะการอยู่กับคนไข้ก็มีอาการเครียดอยู่แล้ว จึงอยากให้เข้าใจกันด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในเมื่อพยาบาลคนดังกล่าวยอมรับว่ามีการใช้น้ำเสียงจริง จะดำเนินการหรือไม่ ดร.ธนกฤต เผยว่า เท่าที่ฟังน้ำเสียงไม่ได้เป็นการก้าวร้าว เพียงแต่ใช้เสียงดัง โดยอุปนิสัยแล้วเป็นคนอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส เพียงแต่ในสถานการณ์นั้นกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ และไม่ได้ทำกับคนอื่นแต่เป็นการทำให้กับญาติผู้ก่อเหตุ และแน่นอนว่าหากพูดไปแล้วก่อนหน้านี้ถึง 2 ครั้ง แล้วไม่เข้าใจมันก็เป็นธรรมดาที่ต้องเสียงดังเพิ่มขึ้นได้ แต่อยากให้ฟังในเนื้อหาว่าตักเตือนด้วยเรื่องอะไร หากเตือนด้วยความห่วงใยก็อยากให้เข้าใจ แต่หากใช้น้ำเสียงมี่ไม่เหมาะสม หรือมีกิริยาก้าวร้าวมันก็มีช่องทางให้ร้องเรียน
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่ากรณีที่พยาบาลพูดว่า ”อาจจะสูญเสียแม่ไม่พอ หากสูญเสียลูกไปอีกจะยอมรับได้หรือไม่“ เป็นคนพูดที่แรกไปหรือไม่ ดร.ธนกฤต เผยว่า ตอนที่ถูกส่งตัวมาถือว่าเป็นผู้ป่วยวิกฤต โอกาสที่จะสูญเสียมีอยู่แล้ว และมีโอกาสติดเชื้อ ที่พูดไปอาจเป็นการสื่อสารที่ทำให้เห็นว่าเป็นโรคที่รุนแรง แต่คำพูดจะสวยงามหรือไม่ อยากให้ดูที่สาระสำคัญว่าเด็กจะติดด้วยหรือไม่ ตัวพยาบาลเองก็ไม่มีเจตนาร้าย เรื่องนี้ต้องกลับไปคิดอย่ามองที่คำพูดอย่างเดียว
นางสาวปลิว (นามสมมติ) พี่สาวของพยาบาลผู้เสียหาย เปิดใจกับสื่อมวลชนว่า เมื่อวานโทรศัพท์คุยกับน้องสาวก็ยังร้องไห้ คนในครอบครัวยอมรับไม่ได้ ยิ่งเห็นคลิปตอนเกิดเหตุ ยิ่งเห็นว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ มองว่าหากมีอะไรไม่พอใจควรพูดคุยกันก่อน ควรทำตามมาตรการ ไม่ควรใช้ความรุนแรงแบบนี้ ที่เห็นคือน้องถูกฟาดไปที่หน้า 2 ครั้ง ถ้าไม่มีใครห้าม น่าจะมีครั้งที่ 3 แน่ๆ และมองเจตนาว่าจะเข้ามาทำร้าย น้องไม่รู้จึงไม่ได้ปัดป้องหรือป้องกันตัว
โดยลักษณะนิสัยปกติน้องสาวตนเป็นคนร่าเริง เข้ากับคนได้ง่าย เป็นน้องคนเล็กสุด หัวอ่อนไม่สู้ใคร ส่วนการใช้โทนเสียงก็ตามสถานการณ์นั้นๆ ซึ่งตอนนี้ต้องตรวจสภาพร่างกายจิตใจ แก้วหูช้ำ มีเลือดออกที่หู และเวลานอนก็ยังมีอาการปวดหูอยู่ตลอด
ส่วนคู่กรณีไม่เคยออกมาขอโทษเลยตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ ตนได้ยินแค่ในรายการ (โหนกระแส) เท่านั้น ยังยืนยันดำเนินการต่อไปถึงที่สุด สำหรับตอนนี้ตนยังสามารถให้ผู้ก่อเหตุมาเจอหน้าพวกตน และครอบครัวได้ แต่ยืนยันว่าจะไม่มีการให้อภัยกัน และจะดำเนินคดีจนถึงที่สุด ส่วนการเยียวยาจากทั้งหน่วยงานรัฐ และผู้ก่อเหตุให้ถามตัวน้องเลย
สำหรับตอนนี้น้องพักงานรักษาสภาพจิตใจก่อน และน้องยังคงจะทำหน้าที่ต่อไป เพราะรักในอาชีพนี้.
Advertisement
