กรณี ร.ต.อ.สถาพร ดวงสี พนักงานสอบสนเวร สภ.เมืองนครปฐม รับแจ้งเหตุมีวัยรุ่นยิงกันตาย บริเวณสี่แยกเวล (ถนนตัดกันระหว่างถนนราชวิถี และถนนหน้าวัง) หรือถนนหน้าวังเขตเทศบาลนครนครปฐม อ.เมือง จ.นครปฐม มีชาวบ้านมายืนมุงดูเหตุการณ์ด้วยความตกใจนับร้อยคน
โดยที่เกิดเหตุพบศพ นายพสธร ทิชาอารยา อายุ 31 ปี หรือ บุ๊ค อยู่บ้านเลขที่ 148/1 ถนนจันทรคามพิทักษ์ ต.สนามจันทร์ อ.เมือง จ.นครปฐม นอนเสียชีวิตอยู่กลางสี่แยก สภาพศพสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเขียว นุ่งกางเกงขาสั้นสีเทา ถูกยิงที่หลังกกหูขวา 1 นัด และหัวคิ้วขวาทะลุหัวคิ้วซ้าย 1 นัด
ใกล้กันพบรถจักรยานยนต์ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จอดล้มอยู่ สภาพยังเปิดไฟ และมีรถจักรยานยนต์ ทะเบียน ครล 360 สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นรถของชาวบ้านที่กระโดดหนีไปด้วยความตกใจ ล้มคว่ำอยู่ใหล้กัน
อีกทั้งยังพบปลอกกระสุน ขนาด 9 มม. ตกอยู่ 2 ปลอก กลางสี่แยกพบรองเท้าแตะหูหนีบสีขาวตกอยู่ 1 ข้าง คาดเป็นของคนร้าย กรอบกระจกมองหลังรถจักรยานยนต์ สีดำ 1 อัน
ในที่เกิดเหตุพบนางศุมาลี ชะโน หรือ สุ อายุ 30 ปี ภรรยาของผู้ตายยืนรอพบเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยอาการตกใจ ให้การว่า ตนอยู่กินกับผู้ตายมาหลายปี มีลูกชายอายุ 7 ขวบ ด้วยกัน มีอาชีพขายลูกชิ้นยำ "เฮฮาเฮงลูกชิ้นปลาทะเล" ตามตลาดนัด ก่อนเกิดเหตุ ตนได้ชักชวนผู้ตายออกจากห้องเช่า ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับห้างบิ๊กซีสาขานครปฐม เพื่อออกมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะริมอ่างน้ำประปานคร ต.นครปฐม อ.เมือง จ.นครปฐม หลังจากเดินเล่นแล้ว ผู้ตายได้พาตนซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาตามทาง จากเส้นทางถนนกั่งบ๊วย ผ่านร้านสุรารมย์ เพื่อมุ่งหน้ามาจอดที่ไฟแดงจุดเกิดเหตุ
โดยในจังหวะที่กำลังขี่ผ่านหน้าร้านสุรารมย์นั้น กำลังขี่ผ่านหน้าร้านสุรารมย์นั้น ได้สังเกตเห็นว่าผู้ตายได้พยักหน้าให้กับชายวันรุ่นที่อยู่ริมถนน แต่ตนไม่รู้จัก จากนั้นเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ ผู้ตายได้จอดรถเนื่องจากติดไฟแดง ทันใดนั้นได้มีคนร้าย 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน เข้ามาเทียบจอดด้านข้าง ซึ่งตนไม่รู้จักมาก่อน
ทันใดนั้นคนร้ายที่ซ้อนท้าย รูปร่างผอม ไว้ผมยาวรากไทร ไม่ใส่หมวก ใส่แมสก์ ก็ได้กระโดดลงจากรถ ก่อนพูดว่า "เฮ้ย" แล้วเข้ามายิงใส่สามีตน 2 นัด ซึ่งทำให้สามีตนล้มลงในทันที ส่วนคนร้ายก็ได้รีบกลับขึ้นรถจักรยานยนต์และหลบหนีออกไป ก่อนที่รถจักรยานยนต์ของคนร้ายจะล้มตรงกลางสี่แยกไฟแดง ใกล้ธนาคาร ทำให้กระจกข้างหลุดพร้อมรองเท้าหูหนีบ จากนั้นคนร้ายทั้ง 2 คนก็ได้รีบลุกขึ้นมา แล้วรีบขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปทางถนนมาลัยแมนอย่างรวดเร็ว เมื่อตนหันมาดูอีกที สามีก็ได้นอนจมกองเลือดและเสียชีวิตกลางสี่แยกไปแล้ว
ขณะที่ตำรวจได้ทำการเก็บข้อมูลจากกล้องวงจรปิด พบว่าคนร้ายทั้ง 2 คน มีความสูงประมาณ 170 เซนติเมตร ได้ขี่ติดตามผู้ตายมาได้ไม่นาน เริ่มที่บริเวณวงเวียนถนนต้นส้น และเร่งเครื่องตามมาอย่างรวดเร็วผ่านร้านอาหารแถวบริเวณสระน้ำจันทร์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “สระบัว” ห่างจากที่เกิดเหตุไม่กี่ร้อยเมตร และได้ติดตามกวดมาถึงจนมาจอดเจอกันที่สี่แยกไฟแดง เมื่อมั่นใจว่าคนขี่คือนายบุ๊ค จึงได้ชักปืนออกมายิงหมายเอาชีวิตทันที
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งปมเรื่องความแค้นส่วนตัว หรืออาจเป็นการเขม่นกัน แต่ไม่ทิ้งปมชู้สาว เนื่องจากเมื่อ 13 ปีก่อน ผู้ตายเคยต้องคดียิงอริกลางร้านข้าวแกง ตลาดเมืองนครปฐม ก่อนจะมาประกอบอาชีพค้าขาย และเลี้ยงลูกชายวัย 7 ขวบ กับภรรยา ก่อนจะมาถูกยิงในที่สุด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งแกะรอยคนร้ายจากกล้องวงจรปิด คาดว่าน่าจะได้ตัวเร็ว ๆ นี้ เพราะคนร้ายไม่รปิดบังใบหน้าและเห็นทะเบียนรถชัดเจน
ทั้งนี้ตนไม่รู้สาเหตุของการยิงในครั้งนี้ เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สามีตนไม่เคยถูกข่มขู่และไม่เคยเล่าอะไรให้ฟัง ความเครียดเดียวที่สามีของตนมีคือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพราะโควิด-19 ทำให้ขายลูกชิ้นไม่ได้ แต่ตนมั่นใจว่าผู้ก่อเหตุตั้งใจที่จะก่อเหตุ
อย่างไรก็ตาม ตนไม่มราบเรื่องราวในอดีตของสามี แต่ถ้าหากเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นการแก้แค้น ตนก็พร้อมที่จะยอมรับ ต่อจากนี้ตนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป แต่ตนได้บอกกับลูกว่า “พ่อบุ๊คไปเป็นเทวดาบนสวรรค์แล้วนะ”
ต่อมาในช่วงเวลาประมาณ 15.00 น. ทีมข่าวได้เดินทางมายังวัดพระงาม พระอารามหลวง ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม สถานที่สวดพระอภิธรรมศพให้กับผู้ตาย ซึ่งทางครอบครัวจะเริ่มจัดพิธีสวดในวันที่ 26 ธ.ค.63 เป็นเวลา 3 วัน ก่อนจะทำพิธีฌาปนกิจ โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ครอบครัวต่างร้องไห้เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนำร่างผู้ตายบรรจุลงโลง โปรยดอกไม้และพรมน้ำอบ ซึ่งภาพที่น่าสลดใจคือภาพที่ลูกชายวัย 7 ขวบ เข้ามาเคารพศพผู้เป็นพ่อเป็นครั้งสุดท้าย
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายบอม (นามสมมติ) อายุ 60 ปี พ่อของผู้ตาย เล่าว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นการกระทำที่อุกอาจต่อหน้าภรรยาผู้ตาย เป็นการก่อเหตุบริเวณกลางเมือง โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งตนเป็นห่วงภรรยาของลูกชายและหลานชายวัย 7 ขวบ ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร เมื่อขาดเสาหลักของครอบครัว
ทั้งนี้ตนยอมรับว่าลูกชายตนเคยเป็นคนเกเร แต่ขณะนี้ลูกชายตนกลับตัวแล้ว เป็นคนขยันทำงาน มีภรรยาและลูกชายวัย 7 ขวบต้องดูแล โดยลูกชายตนจะขายลูกชิ้นที่บ้านโป่ง (ราชบุรี) ในวันจันทร์ วันอังคารหยุด โพธาราม (ราชบุรี) ในวันพุธ บ้านโป่ง (ราชบุรี) ในวันพฤหัสบดี ย่านเกษตรศาสตร์ในวันศุกร์ และที่ถนนคนเดิน จังหวัดนครปฐมเสาร์ ในวันเสาร์และอาทิตย์
ดังนั้นลูกชายของตนจึงไม่น่ามีศัตรูที่ไหน ทางครอบครัวและเพื่อน ๆ ของลูกชายตน จึงพุ่งเป้าไปยังนายโจ๋ น้องชายของนายเต้ย ซึ่งนายเต้ยเคยถูกลูกชายของตนยิงเสียชีวิตโดยไม่ตั้งใจเมื่อประมาณ 13 ปีก่อน
เหตุการณ์ในอดีต ขณะนั้นลูกชายตนซ้อนท้ายไปกับเพื่อน แต่กลับเจอนายเต้ย (พี่ชาย) และนายโจ๋ (น้องชาย) ระหว่างทาง ซึ่งเป็นคู่อริกัน เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายมีปากเสียงกัน นายเต้ยได้ชักปืนออกมาแล้วซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไล่ตามลูกชายตน (เพื่อนขับ ผู้ตายซ้อน - นายโจ๋ขับ นายเต้ยซ้อน) ลูกชายตนจึงตอบโต้ โดยการชักปืนออกมายังป้องกันตัว กระสุนจึงเจาะเข้าที่หน้าผากของนายเต้ย เป็นเหตุทำให้เสียชีวิต
ขณะนั้นตนกับอีกฝ่ายได้ต่อสู้คดีกัน ซึ่งอีกฝ่ายคาดว่าตัวเองน่าจะแพ้คดี เนื่องจากนายโจ๋เป็นผู้ชักปืนขึ้นมาก่อน ทั้ง 2 ฝ่ายจึงตกลงกันจบเรื่องด้วยการที่ตนชดใช้ค่าเสียหายให้ 100,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เรื่องราวจะจบลงไปแล้ว แต่ตนก็ได้เตือนลูกชายอยู่ตลอด เนื่องจากความแค้นของคนยังคงหลงเหลืออยู่ “น้องบุ๊ค ถ้าหนูกลับบ้านดึกต้องระวังตัวนะ มันอันตราย หนูเคยมีเรื่อง หนูยังเดินในนครปฐมก็ต้องระวังตัว หนูเคยยิงคนอื่นไว้” ไม่คิดว่าลูกชายจะถูกยิงแบบนี้ ตนและครอบครัวของผู้ตายจึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งจับตัวคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว
จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางไปยังบ้านของนายโจ๋ ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม โดยทีมข่าวได้พบกับแม่ของนายโจ๋ ซึ่งแม่ของนายโจ๋ ได้ยกมือไหว้ทีมข่าวและบอกกับทีมข่าวเพียงว่า “ไม่รู้”
อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวได้สอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครปฐม ทราบว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย
Advertisement