โผล่อีกศพ! 3 เพื่อนซี้ตั้งวงพี้เคนมผง พยานเผยนาทีหามส่งบ้านชักเกร็งดับสลด อีก 2 รายโคม่า (คลิป)

กรณีพบการระบาดของยาเสพติด “เคนมผง” และมีผู้เสพจนเสียชีวิตหลายราย กระทั่งตำรวจได้มีการขยายผล และจับกุมเอเจนต์ค้ายาเคนมผงได้ 1 รายในเขตพื้นที่สายไหม กรุงเทพฯ 

คอนเทนต์แนะนำ

ดับแล้ว 5 ศพ! นักท่องเที่ยวต่างชาติสังเวยชีวิตให้เหล้าผสมเมทานอลในลาว

ทำถึง! ทีมเชียร์ลีดเดอร์ขอนแก่นวิทยายน จากไวรัลชุดบอดี้มนุษย์และเปรต

รมช.คลัง แนะเข้าเว็บ Welfare.mof.go.th ยืนยันสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

ล่าสุดวันที่ 12 ม.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางลงพื้นที่ไปยังซอยสาธุประดิษฐ์ (49) ซึ่งทราบว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นบ้านของนายวัน (วันเฉลิม) และนายแบงค์ ผู้ที่เสพยาคงนมผงในวงเหล้าในคืนวันเสาร์ที่ 9 ม.ค.64 และต้องหามส่งโรงพยาบาล

โดยล่าสุดอาการของนายวัน ยังพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เพราะเจ้าตัวยังมีอาการใจสั่นและลิ้นชา ขณะที่นายแบงค์ ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว หลังได้รับการรักษา

เมื่อวันที่ 12 ม.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางลงพื้นที่พบว่าที่บ้านมีเพียง นางแคท (นามสมมติ) อายุ 57 ปี แม่ของนายวัน ในฐานะคนเลี้ยงดูนายแบงค์ เปิดเผยว่า ตนไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีความผิดปกติอะไร สังเกตได้ว่ามีทั้งตำรวจและนักข่าวแวะเวียนมาหา ซึ่งทราบแต่เพียงว่านายวัน และหลานชายคือนายแบงค์ ออกไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนในคืนของวันเสาร์ที่ 9 ม.ค.64 ที่ผ่านมา 

กระทั่งช่วงเวลาประมาณ 05.00 น. ของวันอาทิตย์ที่ 10 ม.ค.64 มีรถกระบะของเพื่อนขับรถมาส่งที่หน้าบ้าน โดยนายแบงค์เดินโซเซเข้าไปในบ้านตามปกติ แต่นายวัน ลูกชาย ไม่ยอมลงจากรถกะบะ ตนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร คิดว่าลูกชายคงเมาตามปกติ เหมือนเช่นทุกครั้ง กระทั่งเห็นว่าลูกชายหายไป เนื่องจากเพื่อนได้พาลูกชายไปส่งโรงพยาบาล แต่ตนก็ทราบมาโดยตลอดว่าลูกชายหมดสติเพราะอาการเมาเหล้า

แต่ไม่เคยรู้ว่าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของยาเคนมผง เพราะปกติลูกชายและหลานชาย แค่ไปดื่มเหล้าสังสรรค์กับเพื่อน ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติด เพราะทั้งหมดทำงานเลี้ยงดูคนที่บ้าน ยอมรับว่าทราบข่าวมีการไปยุ่งเกี่ยวกับยาเคนมผงก็ตกใจเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าพวกเขาจะไปยุ่งเกี่ยว แต่ก็โชคดีที่ทุกคนปลอดภัย

ขณะที่นายบอย หรือ นายวิฑูรย์ ภู่ทอง อายุ 32 ปี เพื่อนของนายวัน และนายแบงค์ หลานชาย ที่ทราบว่าไปนั่งดื่มสังสรรค์ด้วยกันในคืนวันดังกล่าว ก็ได้มีการเสพยาเคนมผงไปด้วยกัน กระทั่งทราบว่าเสียชีวิตเมื่อคืนที่ผ่านมา ตนก็รู้สึกตกใจเหมือนกัน เพราะไม่คิดว่ายาเหล่านี้จะทำให้คนถึงตาย และส่วนตัวก็ไม่ได้โกรธหรือโทษใคร เนื่องจากมองว่าเป็นเรื่องของเวรกรรม

ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ก็ต้องปล่อยไปตามการกระทำของแต่ละคน ส่วนคนที่นำยามาขาย หรือเอามาให้กลุ่มของลูกชาย ตนก็ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน และไม่มีอะไรฝากถึงคนเหล่านั้นเช่นเดียวกัน เพียงแค่ตอนนี้ลูกชาย และหลานชายปลอดภัยก็ดีแล้ว

ทีมข่าวทราบว่ามีนายบอย หรือ นายวิฑูรย์ ภู่ทอง อายุ 32 ปี เพื่อนในกลุ่มเดียวกันกับนายวัน และนายแบงค์ หมดสติ ปั๊มหัวใจจนชีพจรฟื้นกลับคืนมาถูกหามส่งโรงพยาบาล และเมื่อคืนที่ผ่านมา (11 ม.ค.64) เสียชีวิตที่โรงพยาบาลนั้น

นายสาโรจน์ ภู่ทอง หรือ ทวน อายุ 54 ปี พ่อนายบอย เปิดเผยว่า วันอาทิตย์ที่ 10 ม.ค.64 เวลาประมาณ 05.00-06.00 น. ตนตื่นเช้ามาพบว่านายบอย นอนหมดสติอยู่บริเวณหน้าบ้าน สวมใส่เสื้อผ้าตามปกติ แต่พยายามเรียกก็ไม่มีการพูดคุยหรือตอบกลับ จึงได้ช่วยพยุงตัวเข้าไปนอนในบ้าน ซึ่งสังเกตว่าลูกชายอยู่ในอาการอ่อนเพลีย แต่ก็ยังพอเดินได้เล็กน้อย ตนจึงให้พักอยู่ในบ้าน เพราะคาดว่าเมาและหมดสติจากการดื่มเหล้า

กระทั่งช่วงเย็น ตนเข้าไปดูอาการลูกอีกครั้ง พบว่าอยู่ในอาการช็อกเกร็ง จึงได้รีบแจ้งรถพยาบาล แต่ในตอนนั้นคิวรถค่อนข้างหนาแน่น ซึ่งจะต้องรอประมาณ 30 นาที ประกอบกับอาการของลูกชายเริ่มแย่ เพราะตอนนั้นเข้าใจว่าชีพจรหยุดเต้น จึงได้ช่วยกันปั๊มหัวใจ และพาส่งโรงพยาบาลด้วยรถส่วนตัว เมื่อไปถึงโรงพยาบาลแล้วพบว่ามีชีพจรคืนกลับมาเล็กน้อย แต่อาการสมองตาย เนื่องจากขาดออกซิเจนไปนาน

นับตั้งแต่ที่พาส่งโรงพยาบาลในช่วงเย็นของวันอาทิตย์ที่ 10 ม.ค.64 จนกระทั่งมาเสียชีวิตวันที่ 11 ม.ค.64 ตนไม่ได้พูดคุยหรือสอบถามอะไรกับลูกชายว่าไปทำอะไรมา และไม่เคยรู้ว่าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องยาเคนมผง เพราะเข้าใจว่าออกไปดื่มเหล้าตามปกติ เหมือนเช่นครั้งที่ผ่านมา แต่สังเกตว่าในเช้าวันที่ตนเจอลูกชายนอนอยู่หน้าบ้าน ไม่ได้กลิ่นเหล้า จึงเชื่อว่าลูกชายต้องไปเมาด้วยสาเหตุอื่นมาอย่างแน่นอน พร้อมทั้งยอมรับว่าที่ผ่านมาลูกชายเคยมีประวัติเรื่องยาเสพติด แต่เป็นเพียงแค่ผู้เสพ และเลิกไปนานแล้ว โดยครั้งนี้ไม่คิดว่าลูกชายจะกลับไปเสพอีกครั้งกระทั่งถึงแก่ความตาย

อย่างไรก็ตาม ตนไม่รู้ว่าใครเป็นคนพาลูกชายไปยุ่งเกี่ยวกับยาเคนมผง หรือใครเป็นคนนำมาจำหน่ายให้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตนก็ไม่ได้โทษโกรธใคร เพราะทั้งหมดอยู่ที่การกระทำของลูก ในเมื่อตนห้ามปรามเอาไว้แล้ว แต่สุดท้ายก็มีการกลับไปเสพ ตนก็ไม่ได้ถือโทษโกรธใคร คิดว่าเป็นการกระทำของตัวบุคคล ส่วนคนที่รอดตนก็ถือว่าโชคดีที่ไม่ได้รับอันตรายถึงแก่ความตายเหมือนลูกของตน