กรณีครอบครัวของผู้บำบัดในอ.กุฉินารายณ์ แจ้งผ่านสื่อมวลชนอ้างว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กุฉินารายณ์ มาเชิญตัวไปให้ปากคำ จนทำให้ครอบครัวของผู้บำบัดกังวลใจ และมีการติดต่อไปยังหมอปลา กระทั่งวันที่ 30 ก.ย.64 หมอปลา, นายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความ และทีมงาน ได้เดินทางมาที่ อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อให้กำลังใจกับครอบครัวผู้บำบัด
เวลา 09.00 น. หมอปลา และทีมงานเดิทางมาถึงอ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ และมีการพบปะพูดคุยกับครอบครัวผู้บำบัด
เวลา 10.00 น. หมอปลาและครอบครัวของผู้บำบัดจำนวน 4 ครอบครัว ได้เดินทางมายัง สภ.กุฉินารายณ์ ตามที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ไปแจ้งให้มาให้ปากคำนั้น แต่พอครอบครัวของผู้บำบัดเดินทางมาถึง สภ.กุฉินารายณ์ เจ้าหน้าที่ออกมาแจ้งกับครอบครัวผู้บำบัดว่า สภ.กุฉินารายณ์ ไม่ได้นัดสอบปากคำครอบครัวผู้บำบัดแต่อย่างใด พร้อมกับแจ้งว่าชุดที่ทำหน้าที่สอบสวนครอบครัวผู้บำบัดนั้น เป็นชุดของตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์
เวลา 12.00 น. ครอบครัวผู้บำบัดจำนวน 4 ครอบครัว เดินทางมาถึงตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมกับหมอปลา ทนายไพศาล และทีมงาน โดยมี พล.ต.ต.สมนึก มิควาฬ ผบก.ภ.จว กาฬสินธุ์ ได้มาต้อนรับหมอปลาและทีมงาน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ทำการสอบปากคำครอบครัวผู้บำบัดทั้ง 4 ครอบครัว เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
พ.ต.อ.วิทยา เย็นจิตต์ รอง ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า ในวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการเชิญญาติของผู้บำบัดจำนวน 4 ครอบครัว มาทำการสอบปากคำ เพื่อหาข้อเท็จจริงกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยก่อนหน้านี้ทางคณะกรรมการก็ได้มีการสอบปากคำตำรวจ สภ.กุฉินารายณ์ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องไปแล้ว รวมถึงพยานรายอื่น ๆ ที่สอบปากคำไปแล้ว 10 กว่าปาก ส่วนเรื่องยาเสพติดในพื้นที่ ยืนยันว่าตำรวจมีการปราบปรามอย่างต่อเนื่อง
พล.ต.ต.สมนึก มิควาฬ ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในวันนี้ตนได้ฟังเจตนารมย์ของหมอปลา ทนายไพศาล แล้วตนก็รู้สึกดีใจที่ทุกคนมีความหวังดีในการแก้ไขปัญหาสังคม ตนยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ถ้าเรื่องนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองบกพร่อง ตนก็จะดำเนินการตามความผิด โดยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนก็ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว โดยได้มีการสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจของ สภ.กุฉินารายณ์ ไปแล้ว 1 ราย วันนี้ก็มีการเชิญผู้ปกครองของผู้บำบัดจำนวน 4 ครอบครัว ในพื้นที่อำเภอกุฉิน่ารายณ์มาสอบสวนหาข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่ามีตำรวจกระทำความผิด 1 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กุฉินารายณ์ โดยตำรวจรายดังกล่าวอ้างว่าเป็นการกระทำส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับองค์กร โดยมีการทำมาแล้วประมาณ 2 ปี ส่วนตำรวจรายอื่น ๆ ถ้าพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะมีการดำเนินการตามความผิดต่อไป โดยพฤติการดังกล่าวก็เข้าข่ายความผิดทั้งความผิดอาญาและวินัย
ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด มีการแจ้งความดำเนินคดีกับหมอปลาในข้อหาหมิ่นประมาทนั้น ตนก็จะมีการนำเรียนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ดต่อไปว่า ทางหมอปลาและทีมงานมีความประสงค์ที่อยากจะพูดคุยด้วย และตนก็อยากให้ทุกฝ่ายช่วยเหลือสังคมจะดีกว่า
หมอปลา กล่าวว่า สาเหตุที่ตนมีการเปิดเผยเรื่องนี้ ตนไม่ได้ต้องการอยากจะมีเรื่องกับตำรวจ แต่อยากให้ตำรวจชั้นผู้ใหญ่มีการตรวจสอบว่า มีตำรวจเกี่ยวข้องกับการได้ผลประโยชน์จากการบำบัดผู้ป่วยจริงหรือไม่ แต่ในเมื่อออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับมาแจ้งความดำเนินคดีกับตน จึงต้องจำเป็นที่จะต้องนำหลักฐานต่าง ๆ มายืนยันความบริสุทธิ์ เพื่อให้สังคมได้รู้ว่าสิ่งที่ตนพูดคือเรื่องจริง แต่วันนี้กลับถูกตำรวจพยายามบอกให้ครอบครัวผู้บำบัดที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวให้ข่าวว่า อาสาตำรวจเป็นคนดำเนินการ และไม่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ทั้งนี้ ตนทำทุกอย่างเพื่อสังคม แต่กลับถูกผู้ที่มีอำนาจที่มีกฎหมายอยู่ในมือใช้เล่นงาน ไม่ว่าอนาคตศาลจะตัดสินตัวเองว่าอย่างไร แต่สิ่งที่ตน ทนายความ และสื่อมวลชนได้นำเสนอออกไปนั้น มันคือเรื่องจริง จึงอยากนำเรื่องดังกล่าวมาเรียนให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ได้รับทราบ
อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวได้พูดคุยกับหนึ่งในผู้บำบัดวัดท่าพุ เปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุเมื่อวันที่ 10 ก.ย.64 ที่ผ่านมา ช่วงกลางคืนตนเห็นว่ามีคนขึ้นไปบนบ้านจะฟันตน เลยมีการตะโกนบอกตากับยาย ตนยืนยันว่าไม่ได้หลอนยาแต่อย่างใด จากนั้นก็ไม่รู้ว่าใครโทรแจ้งตำรวจ กระทั่งมีตำรวจมาควบคุมตัวที่บ้าน และตำรวจยังทำร้ายร่างกายตนด้วยการใช้เท้าเหยียบ และไม่ได้พาไปตรวจหาสารเสพติดแต่อย่างใด จากนั้นก็มีการเจรจาให้ตนไปอยู่ในสถานบำบัดวัดท่าพุ