จากกรณีชายฉกรรจ์ประมาณ 15 คน สวมหมวกโม่งปิดบังใบหน้า ขับรถยนต์กระบะ 2 คัน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มาพร้อมเลื่อยยนต์ และพกอาวุธปืนไม่ทราบชนิดครบมือ บุกเข้ามาภายในวัดบ้านหนองมะเขือ ม.14 ต.สะแกโพรง อ.เมืองบุรีรัมย์ วันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา ช่วงเวลาประมาณ 03.00 น. ก่อนลงมือใช้เลื่อยยนต์โค่นต้นพะยูงเก่าแก่ อายุกว่า 100 ปี ขนาดใหญ่สูงกว่า 10 เมตร ที่อยู่ข้างศาลาการเปรียญ ก่อนนำขึ้นรถและขับออกไปอย่างรวดเร็วนั้น (อ่าน :
ไม่กลัวนรก! ชายนับสิบบุกวัดอาวุธครบมือตัดไม้พะยูง แสบเบิ้ลรถกลบเสียงเลื่อยยนต์)
วันที่ 4 พ.ย. 61 ทีมข่าวเดินทางมาที่วัดบ้านหนองมะเขือ พบต้นพะยูง ซึ่งส่วนของกิ่งถูกตัดออกเหลือเป็นตอไม้ ส่วนลำต้นมีลักษณะเหี่ยวบริเวณปลาย ไม่สมบูรณ์ โดย
นางสี (นามสมมติ) ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า วันที่ 2 พ.ย. เวลา 03.20 น. ตนนอนอยู่ในวัด ได้ยินเสียงเปิดประตูวัด พร้อมเสียงรถขับเข้ามาด้านในเสียงดัง จึงลุกขึ้นมาดู เห็นชายฉกรรจ์กว่า 10 คน ใส่หมวกโม่งปิดหน้าตา ขับรถกระบะเข้ามา 2 คัน และรถจักรยานยนต์อีก 1 คัน จอดหน้าวัด
โดยขณะนั้นตนรู้สึกกลัว จึงไม่กล้าออกจากในที่พัก ได้แต่สังเกตพฤติกรรม พบว่า มีชายคนหนึ่งถือเลื่อยยนต์มาตัดต้นพะยูง เมื่อไม้ล้ม ก็ตัดแบ่งเป็น 5 ส่วน โดยคนที่เหลือช่วยกันยกขึ้นรถ ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ก็ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว
ซึ่งในวันดังกล่าว มีคนอยู่ในวัดจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณข้างศาลาที่มีช่างทำถนนมาอาศัยนอนในวัด แต่ก็ไม่มีใครไม่กล้าลุกออกมา เพราะมีคนที่ถือปืนประมาณ 2-3 คน ยืนคุมเชิงอยู่ด้วย ซึ่งประตูวัดปิดไว้ แต่ไม่ได้ล็อก เพราะมีงานบุญในวัด โดยก่อนหน้านี้ ตนเคยเห็นชายฉกรรจ์ขับรถยนต์เข้ามาในวัดช่วงกลางคืน เมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา โดยได้เข้าไปดูบริเวณด้านหลังเมรุ ซึ่งอยู่ติดกับสวนข้าง ๆ ที่มีไม้พะยูงเช่นเดียวกัน ตนจึงรีบปิดประตูวัด ทันทีที่ชายกลุ่มนี้ก็ขับรถออกไปทางหลังวัด ถัดมาประมาณ 2 สัปดาห์ ก็มีชายฉกรรจ์พยายามจะเข้ามาในวัดช่วงกลางคืน แต่ไม่สามารถเข้ามาได้ เพราะประตูล็อกไว้ ซึ่งตนก็ได้ยินเสียงคุยกันมีทั้งภาษาไทย และภาษาเขมร แต่จับใจความไม่ได้ จึงคิดว่าน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันทั้ง 2 รอบ โดยอาจจะเข้ามาสังเกตการณ์ก่อนตัดต้นพะยูง ซึ่งตนเองก็รู้สึกกลัว เมื่อเกิดเหตุขึ้น จึงต้องล็อกประตูวัดโดยตลอด
พระครูสุวัฒน์ ประชาธร เจ้าอาวาสวัดบ้านหนองมะเขือ กล่าวว่า ต้นพะยูงจะมีอายุเกือบ 100 ปีแล้ว โดยอยู่มาก่อนที่อาตมาจะเข้ามาบวชที่วัดเมื่อประมาณ 50 ปีที่ผ่านแล้ว ซึ่งก็พยายามดูแลรักษามาตลอด ช่วงที่เกิดเหตุ ก็ไม่ทราบเรื่อง เพราะเป็นช่วงปริวาสกรรม คือการจำศีลด้านในวัด ซึ่งพระทั้งหมดจะมานอนบริเวณกลางวัด มีเพียงกลุ่มช่างที่อยู่ด้านหน้าวัดเท่านั้น โดยก่อนหน้านี้ ทราบว่าเคยมีคนมาสังเกตการณ์ แต่คิดว่าจะขโมยของที่สวนข้างวัด ไม่คิดว่าจะขโมยต้นพะยูงในวัดไป ส่วนต้นพะยูงที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ก็มีเพียงต้นที่ถูกตัดไปเท่านั้น ที่เหลือในวัดก็มีแต่ต้นเล็ก ๆ ซึ่งยังใช้ประโยชน์ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ทางวัดก็ไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้ ได้แต่อนุโมทนา และไม่คิดโกรธแค้นใด ๆ
นายชัยโรจน์ สำเร็จรัมย์ เจ้าของสวนที่อยู่ติดกับวัด ซึ่งมีต้นพะยูงอยู่ด้วย เปิดเผยว่า ด้านในสวนของตนมีต้นพะยูงที่สามารถใช้การได้ประมาณ 4 ต้น และต้นเล็กอีก 6 ต้น โดยก่อนหน้านี้ มีคนเคยเข้ามาสอบถามเพื่อขอซื้อหลายครั้ง จนล่าสุดประมาณ 2 วันก่อนเกิดเหตุ มีชายรายหนึ่งเข้ามาติดต่อขอซื้อ ให้ราคาเหมา 3 ต้น 60,000 บาท ซึ่งตนตอบกลับไปว่า "ยังขายไม่ได้ เพราะต้องทำให้ถูกต้อง" และต้องสอบถามทางเจ้าหน้าที่ก่อน ส่วนที่มีคนมาสังเกตการณ์ในวัด เจ้าหน้าที่ในวัดก็โทรมาแจ้ง เพราะคิดว่าน่าจะมาดูที่สวนตน ซึ่งอยู่ติดกับวัด เมื่อเกิดเหตุตอนแรกคิดว่าคนร้ายน่าจะมาตัดที่สวนตน เพราะเชื่อว่าไม่น่ากล้าขโมยของวัด
ทั้งนี้ ตนก็ค่อนข้างกังวล หลังจากต้นพะยูงที่วัดถูกตัดไป โดยได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้เพื่อขอตัดขาย ซึ่งทางป่าไม้ แนะนำให้ไปคัดโฉนดที่ดินของจังหวัด โดยทางป่าไม้จะได้มาตีตราให้ เพื่อตนจะได้ตัดขายอย่างถูกต้อง