แก๊งโดน ตร.ไล่ยิง เผยนาทีถูกเท้าขยี้หน้า ยัดข้อหาพยายามฆ่า เอาคืนแจ้งจับ (คลิป)

6 พ.ย. 61
กรณีนายอภิชาติ งามชื่น อายุ 29 ปี ร้องเรียนสื่อมวลชน ภายหลังจากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ทำร้ายร่างกายสาหัส ซ้ำยังนำอาวุธปืนตบไปที่ศีรษะและใบหน้าจนสลบ ต่อมามีการจัดฉากว่าตัวเองได้ต่อสู้ขัดขวางตำรวจ กระทั่งนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้อหาร่วมกันพกอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมืองหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาไม่มีเหตุอันสมควรต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่
สภ.หนองขาม
นายอภิชาติ แจ้งความที่ สภ.หนองขาม พร้อมเปิดคลิปหลักฐานผ่านโทรทัศน์
นายอภิชาติ งามชื่น หรือ บิน ผู้ได้รับบาดเจ็บ และกลุ่มญาติ ได้เดินทางมาที่ สภ.หนองขาม เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นายสันติ ผู้ร่วมก่อเหตุทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส และดำเนินคดีในข้อหาพยายามฆ่า โดยระหว่างที่นายอภิชาติ กำลังไปเข้าไปแจ้งความ ทางญาติได้เตรียมนำโทรทัศน์ ขนาดจอ 50 นิ้ว นำมาเปิดภาพกล้องวงจรปิดในวันเกิดเหตุอีกครั้ง พร้อมระบุว่าเปิดฉายภาพซ้ำเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในคดีนี้ และจะขอพูดคุยกับ พ.ต.อ.จิรวัฒน์ ศักดิ์ศรีวัฒนา ผู้กำกับ สภ.หนองขาม เพื่อให้ชี้แจงถึงความคืบหน้าที่ฝ่ายตัวเองได้แจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองขาม
นายอภิชาติ งามชื่น หรือ บิน ผู้ได้รับบาดเจ็บ
โดย นายอภิชาติ เปิดเผยว่า วันนี้ได้มาแจ้งความดำเนินคดีกับ นายสันติ ที่ขับรถชนตนจนได้รับบาดเจ็บ แล้วยังร่วมกันก่อเหตุทำร้ายร่างกับตนพร้อมกับดาบตำรวจ ส่วนเรื่องที่มีรายงานว่าตนชอบพกพาปืนไปในร้านและเอาไปข่มขู่คนในร้านอาหาร ตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เป็นเพียงการกล่าวอ้างเท่านั้น ซึ่งในวันเกิดเหตุ ตนก็พกปืนไว้ที่เบาะรถจักรยานยนต์ สำหรับกรณีที่ตนนำอาวุธเข้าไป เหตุก็เป็นเพราะตนเคยมีเรื่องกับคนในร้านอาหารก่อนหน้านี้ ตนจึงพกไว้โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันตัว
ภาพจากกล้องวงจรปิด ขณะเกิดเหตุนายอภิชาติถูกรถชน
นายบิน กล่าวต่อว่า วันเกิดเหตุ ตนเองต้องใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้า และตนไม่แน่ใจว่าเขาเป็นพวกไหน เนื่องจากเขาไม่มีการแสดงบัตรประจำตัวว่าเป็นตำรวจ ตนจึงต้องยิงเพื่อบอกว่าตัวเองก็มีอาวุธ ซึ่งตนไม่ได้มีตั้งใจแสดงว่าตัวเองมีอำนาจ
สภาพนายอภิชาติ หลังถูกทำร้ายร่างกาย
สภาพนายอภิชาติ หลังถูกทำร้ายร่างกาย
นายบิน กล่าวทิ้งท้ายว่า ยอมรับว่าตอนนี้ก็กลัวความปลอดภัยของตัวเอง ที่ผ่านมาเวลาตนเองไปยื่นเรื่องขอโยกย้ายกลุ่มตำรวจออกนอกพื้นที่ แต่ไม่เป็นผล โดยกลุ่มตำรวจไม่ได้มีการข่มขู่พวกตน เขาจึงยังสามารถอยู่ในพื้นที่ได้ ซึ่งหลังจากนี้ ในเดือนหน้าศาลจะมีการพิพากษาตัดสินอย่างไร ตนก็ขอเคารพในคำตัดสินของศาล
นายจรัญ รัตนวารี หรือ นายดุ่ย เพื่อนของนายบิน
นายจรัญ รัตนวารี หรือ นายดุ่ย เพื่อนของนายบิน เปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุ ช่วงเวลาประมาณ 02.00 น. ขณะที่ตนและกลุ่มเพื่อนกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์ เพื่อออกไปกินก๋วยเตี๋ยว มีรถจักรยานยนต์ขับออกไปจากร้านทั้งสิ้น 4 คัน ซึ่งคันที่ 1 มีนายน็อตกับนายแก้ว เป็นคนขับและซ้อนท้าย, คันที่ 2 มีนายรัชชานนท์ หรือ นุ๊ก และนายอภิชาติ หรือ บิน เป็นคนขับและซ้อนท้าย, คันที่ 3 มีตนเป็นคนขับ และนายแมน เป็นคนซ้อน ส่วนคันสุดท้าย มีนายอิฐ เป็นคนขับคนเดียว
ภาพจำลองเหตุการณ์ ขณะเกิดเหตุ
ภาพจำลองเหตุการณ์ ขณะเกิดเหตุ
โดยระหว่างที่รถจักรยานยนต์ 2 คันแรกขับขี่ไป ตนก็ไม่ทันได้สังเกตว่ามีการเขวี้ยงแก้วจากชายรายหนึ่ง เพราะเมื่อตนขับไปถึงบริเวณป้ายหน้าร้าน ตนสังเกตเห็นชายใส่เสื้อสีดำ ควักอาวุธปืนขึ้นมาตีที่ท้ายทอยของนายแมน ที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของตน จากนั้นก็ใช้อาวุธปืนจี้บังคับให้ตนหยุดรถแล้วก็ดึงกุญแจรถของตนไป พร้อมกับยึดโทรศัพท์ของตนกับนายแมน แล้วก็บังคับให้ตนหมอบลงที่พื้น ก่อนที่จะเอากุญแจมือมาล็อกตนกับข้อมือนายแมน
ภาพจำลองเหตุการณ์ ขณะเกิดเหตุ นายดุ่ยถูกเหยียบหน้า
จากนั้น หลังจากชายเสื้อดำยิงแล้ว ก็กลับมาใช้เท้าเหยียบที่ศีรษะตนอีกครั้ง พร้อมกับถามว่า “มึงมากันกี่คน” ตนก็ตอบไปว่า “4-5 คนครับ” แล้วชายเสื้อดำก็พูดในลักษณะที่ว่า “กูตามมึงมาหลายวันแล้ว” ตนรู้สึกงง ว่าพวกตนไปทำอะไรให้ เมื่อชายเสื้อดำพูดแล้ว ก็ออกไปยิงปืนอีกหลายนัด จากนั้นได้มีชายเสื้อขาวอีกคน เดินตรงมาที่ตนกับนายแมน แล้วดึงศีรษะตนขึ้นให้มองหน้าเขา ทั้งยังพูดอีกว่า “มึงจำหน้ากูไว้นะ” แล้วก็บังคับให้ตนยืนขึ้น จากนั้นก็ถอดกุญแจมือของตนทั้ง 2 คน จากนั้น รถสายตรวจก็ขับมาถึงจุดเกิดเหตุ ตนได้ยินเสียงวิทยุตำรวจดังขึ้น มีการสนทนาว่า “จับไอ้บินได้ยัง” ปลายสายก็ตอบว่า “จับได้แล้ว” ตอนนั้นตนเห็นไม่เห็นหน้านายบิน แต่เห็นปลายขา และมีกองเลือดของนายบิน ตนก็ตกใจและขอตำรวจลงไปดูสภาพของนายบิน แต่ตำรวจไม่อนุญาต โดยบอกตนว่า “เพื่อนมึง ตายไป 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว ทำใจไว้เลย” ตนถึงกับน้ำตาตก ว่าทำไมต้องทำเพื่อนตนขนาดนี้ จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็คุมตัวตนกลับไปที่โรงพัก แล้วขังตนไว้ในคุก โดยให้ตนถอดรองเท้า เข็มขัด และหมวกออก ซึ่งไม่มีการสอบปากคำตนแต่อย่างใด
นายสันติ ผู้ถูกกล่าวหา
นายสันติ ผู้ถูกกล่าวหา ให้ข้อมูลว่า ตนไม่ได้รู้จักกับกลุ่มตำรวจกลุ่มนี้มาก่อน และตนไม่ได้ทำงานหรือเป็นสายของตำรวจ ส่วนรายละเอียดที่ตนขับรถให้ตำรวจคนนั้น ไม่ขอให้ข้อมูล เพราะตนพูดในชั้นศาลไปหมดแล้ว ซึ่งใครจะทำอะไรย่อมรู้ตัวเอง ตนเองยืนยันในความบริสุทธิ์ใจ และตนก็ไม่ได้ขับรถชนนายอภิชาติ แต่หากนายอภิชาติจะแจ้งความจับตน ก็แล้วแต่เขา ทั้งนี้ ตนเองไม่ทราบว่าศาลพิจารณาตัดสินเมื่อใด แต่ในคดีนี้ตนเป็นเพียงพยาน และเป็นพลเมืองดีที่เข้าไปช่วยตำรวจ สำหรับรถคันที่ชนนายอภิชาติ เป็นของน้องที่ไปด้วยกัน ตนไม่ได้เป็นเจ้าของรถคันดังกล่าว

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ