กรณีมีผู้ใช้เฟชบุ๊กรายหนึ่ง ร้องเรียนมาทางทีมข่าวอมรินทร์ทีวีว่า "แจ้งข่าวค่ะ โดนฆาตกรรม คนพื้นที่ปิดข่าว ไม่ยอมให้เปิดข่าวค่ะ ชาวบ้านกลัวกันมากค่ะ ที่บ้านคำบอน ตำบลน้ำจั้น อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ ชาวบ้านไม่กล้าออกไปกรีดยาง น่ากลัวมากค่ะ"
ซึ่งผู้เสียชีวิตเป็นชายชื่อ นายบุญธง บุญปากดี อายุ 49 ปี สภาพศพถูกแขวนคอด้วยเชือกสีแดงกับราวสะพานข้ามคลองน้ำ เสื้อของผู้ตายถูกถอดออก แล้วอุดปากเอาไว้ พบบาดแผลร่างกายของผู้ตาย 4 แผล ที่กลางท้อง 3 แผล และใต้ราวนมด้านซ้าย 1 แผล
วันที่ 20 ต.ค. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมายังป่าช้าบ้านคำบอน ตำบลน้ำจั้น อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ สถานที่ฌาปนกิจศพคนตาย วันนี้ได้เป็นพิธีเผาศพ บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
นางสาวอาริตา บุญปากดี ลูกสาวคนโตของผู้เสียชีวิต เปิดใจว่า เหตุการณ์ก่อนจะเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 64 พ่อของตัวเองไปกินเหล้ากับผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 โดยมีคนในวงเหล้าประมาณ 4-5 คน หลังจากวันนั้นมาพ่อก็มีอาการซึมเศร้า ตอนนั้นตัวเองก็ยังไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร
กระทั่งเช้าวันที่ 14 ต.ค. 64 พ่อของตัวเองมาเล่าบางสิ่งบางอย่าง บอกกับนางอินถวา บุญปากดี อายุ 50 ปี แม่ของตัวเองว่า คืนวันที่ 10 ต.ค. 64 ที่พ่อไปกินเหล้า มีบางคนได้พาพ่อเล่นการพนัน ทายว่าใครจะได้ตำแหน่ง อบต. แล้วมีการลงเงินกัน แล้วมีการถ่ายคลิปพ่อไว้เพื่อแบล็กเมล จากนั้นเขาก็บอกกับพ่อว่า "มีคลิปที่ถ่ายไว้นะ" แล้วเขาก็บอกให้พ่อตัวเองไปเอาใบล่ารายชื่อที่จะปลดชุดผู้ใหญ่บ้านหมู่ 10 มาให้กับเขา แล้วมาเผาต่อหน้าเขา ถ้าพ่อไม่เอากระดาษใบล่ารายชื่อไปให้เขา เขาจะเอาชีวิตพ่อ
จากนั้น 10.00 น. ของวันที่ 14 ต.ค. 64 ตัวเองได้ไปคุยเรื่องนี้กับพ่อทางโทรศัพท์ พ่อก็เล่าให้ตัวเองฟังเหมือนกับที่เล่าให้แม่ฟัง ตัวเองยังเตือนพ่อว่าไม่ให้ไปแข็งข้อกับเขา ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ให้ไปดำเนินการตามกฎหมาย แล้วพ่อได้พูดกับตัวเองอีกว่า ถ้าหลังจากนี้สถานการณ์ไม่ดีขึ้น พ่อจะขอไปอยู่ที่กรุงเทพฯ กับตนเอง ตัวเองก็คิดว่าตอนนั้นพ่อตั้งใจจะหนี คิดว่าเขาคงไม่ปล่อยพ่อไว้แน่ ๆ แต่ก็มาเกิดเรื่องขึ้นก่อน จากนั้น เวลาประมาณ 20.20 น. พ่อได้ขับรถมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านไปที่กระท่อมปลายนา
เวลา 03.00 น. วันที่ 16 ต.ค.64 แม่ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปกรีดยางพารา ห่างจากจุดที่เจอศพพ่อประมาณ 300 เมตร แล้วแม่ได้เห็นแสงของไฟส่องกบส่องขึ้นบนฟ้า แต่ตอนนั้นแม่คิดว่าอาจเป็นวัยรุ่นเมายา ไม่กล้าเดินเข้าไปดู ต่อมาแม่ได้กลับจากกรีดยาง แล้วกลับมาบ้าน ก็ไม่พบพ่อ เวลาประมาณ 06.00 น. ของวันที่ 16 ต.ค. 64 แม่และน้องชายวัย 19 ปี ได้ออกตามหาพ่อที่กระท่อมปลายนา กระทั่งเวลา 06.17 น. น้องชายได้ไปเจอเชือกสีแดงที่ราวเหล็กสะพานข้ามคลองน้ำ และเจอส่วนหัวของพ่อ จึงโทรเรียกญาติในหมู่บ้านออกไปดู กระทั่งมาพบว่าพ่อเสียชีวิตแล้ว
ทีแรกทุกคนก็คิดว่าพ่อผูกคอตาย กระทั่งพบบาดแผลตามร่างกาย และพบว่าพ่อถูกเอาเสื้ออุดปาก ตัวเองจึงคิดว่าพ่อถูกฆาตกรรม เพราะไม่มีใครแทงตัวเองแล้วผูกคอตายได้ คิดว่าคนร้ายเขามีเจตนาที่จะก่อเหตุฆ่าพ่อให้ตาย ตัวเองอยากเอาเรื่องคนร้ายให้ถึงที่สุด
ทีมข่าวอมรินทร์ดินทางมายังจุดที่พบศพผู้เสียชีวิต บริเวณที่นาของผู้ตาย จุดที่พบศพผู้ตายเป็นสะพานข้ามคลองน้ำ ห่างจากกระท่อมของผู้ตายประมาณ 100 เมตร บริเวณราวสะพาน พบร่องรอยเชือกที่ผูกคอผู้ตาย ไม่พบคราบเลือด เนื่องจากชาวบ้านให้ข้อมูลว่าวันเกิดเหตุมีฝนตก คาดว่าอาจชำระคราบเลือดออกไปแล้ว บริเวณตลิ่งข้างจุดเกิดเหตุ พบกระทงต้นกล้วยที่ครอบครัวคนตายนำมาเรียกวิญญาณผู้ตายเมื่อวันที่ 18 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยจุดที่พบศพผู้ตาย เต็มไปด้วยป่ายางและทุ่งนา ไม่มีบ้านของชาวบ้าน มีบ้านหลังที่ใกล้จุดพบศพที่สุดประมาณ 500 เมตร
ด้านนายแดง (นามสมมติ) อายุ 19 ปี ลูกชายคนเล็กของผู้เสียชีวิต ที่ไปเจอศพเป็นคนแรก กล่าวว่า ช่วงเช้าของวันที่ 16 ต.ค. 64 ตัวเองออกไปตามหาพ่อที่บริเวณกระท่อมปลายนา แต่ก็ไม่เจอตัวพ่อ กระทั่งตัวเองเดินไปบริเวณสะพานข้ามคลอง ตัวเองก็ได้เห็นเชือกสีแดงผูกกับราวสะพาน และเห็นส่วนศีรษะของพ่อ จึงคิดว่าเป็นร่างของพ่อ จากนั้นตัวเองจึงโทรหาญาติในหมู่บ้าน ให้ไปดูศพดังกล่าว
เหตุที่เกิดขึ้นตัวเองไม่เชื่อว่าพ่อจะฆ่าตัวตาย คิดว่าพ่อน่าจะถูกฆาตกรรม เพราะศพพ่อมีบาดแผลจากการถูกแทงหลายแผล ซ้ำยังจุดที่ศพพ่อยังอยู่คนละที่กับจุดที่เจอรถมอเตอร์ไซค์ของพ่ออีกด้วย ศพห่างรถ 600 เมตร ซึ่งตัวเองก็ตั้งข้อสังเกตว่าคนก่อเหตุเขาน่าจะเอารถพ่อไปซ่อน ยอมรับว่าก่อนเกิดเหตุพ่อได้เล่าให้คนในครอบครัวฟังว่าเขาถูกบุคคลหนึ่งขู่เรื่องเอกสารล่ารายชื่อ บุคคลดังกล่าวบอกว่าถ้าพ่อไม่เอาเอกสารล่ารายชื่อไปให้เขา เขาจะฆ่าพ่อ แต่ตัวเองก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องขึ้นจริง
โดยเหตุที่เกิดขึ้น ตัวเองก็ไม่รู้ว่าคนร้ายจะได้รับโทษสูงสุดประหารชีวิตหรือไม่ เพราะกฎหมายไทย ใครก็รู้ว่ามันเป็นอย่างไร ตอนนี้ตัวเองก็กังวลถึงความปลอดภัยของตัวเองและครอบครัวมาก เพราะคนร้ายก็ยังจับไม่ได้
ด้านนายโต้ง (นามสมมติ) หนึ่งในชาวบ้านที่ล่ารายชื่อปลดทีมทำงานของผู้ใหญ่บ้านหมู่ 10 เล่าว่า วันเกิดเหตุตัวเองก็ได้มาเห็นสภาพศพคนตาย ตัวเองไม่เชื่อว่าเขาจะผูกคอตาย และคิดว่าเขาถูกฆาตกรรม สาเหตุที่ตัวเองและชาวบ้าน ต้องมีการล่ารายชื่อปลดชุดทำงานของผู้ใหญ่บ้านหมู่ 10 นั้น ก็เพราะว่าเขาทำงานไม่ดี บริหารงานมีปัญหา ชาวบ้านจึงมีการล่ารายชื่อเพื่อปลดชุดดังกล่าวออก
เท่าที่ตัวเองได้รับข้อมูลมา มีบุคคลที่ขู่ให้ผู้ตายเอาใบรายชื่อที่ชาวบ้านล่ารายชื่อไปให้พวกเขานั้น มีอยู่ประมาณ 2 คนด้วยกัน โดยคำพูดของบุคคลหนึ่ง เขาได้พูดว่า "นายก็รู้ว่าป๋าเขาโหดขนาดไหน" จึงทำให้เขาไม่พอใจ ช่วงระยะหลังมานี้ ชาวบ้านในหมู่ 10 เขาจะชอบเรียกหยอกล้อคนตายว่า "ผู้ใหญ่บ้านคนใหม่" ตัวเองคิดว่า ประเด็นนี้เป็นอีกปมเหตุหรือไม่ ที่ทำให้ฝั่งนั้นเขาไม่พอใจคนตาย และก่อนนายบุญธงจะเสียชีวิต เขาก็ถูกขู่ว่า "เป็นเพราะมึงเป็นแกนนำ พาชาวบ้านล่ารายชื่อ มึงอยากเป็นผู้ใหญ่บ้านหรอ"
จากนั้น เช้าวันที่ 15 ต.ค. 64 ตัวเองก็ได้ยินข้าวว่าคนตายเขาเดินทางไปขอโทษบางคน แต่ทางนั้นเขาก็บอกว้าเขาไม่ติดใจเอาเรื่อง นายโต้งเล่าเรื่องแปลกให้ทีมข่าวฟังอีกว่า หลังจากพบศพผู้ตาย ครอบครัวผู้ตายและชาวบ้านหารถมอเตอร์ไซค์ผู้ตายไม่เจอ กระทั่งช่วงเช้าของวันที่ 18 ต.ค. 64 ครอบครัวของผู้ตายได้ทำพิธีเชิญวิญญาณผู้ตาย หลังจากนั้นไม่นานก็มีชาวบ้านไปเจอรถมอเตอร์ไซค์ของผู้ตาย ที่คลองน้ำอีกแห่ง ห่างจากจุดเจอศพประมาณ 600 เมตร
ด้านนายแสงทอง จันมี อายุ 53 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา มีลูกบ้านหมู่ 13 เก็บกุญแจรถจักรยานยนต์ได้ จึงนำมาให้ตัวเองประชาสัมพันธ์หาเจ้าของ กระทั่งช่วงเย็นวันดังกล่าว นายบุญธง ผู้ตาย ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์มาที่บ้านตัวเอง เพื่อมาเอากุญแจรถ บอกว่าเป็นของเขาที่ทำหาย ซึ่งผู้ตายได้นำเหล้าขาวมา 1 ขวด เพื่อเป็นการขอบคุณ จากนั้นตัวเองและผู้ตายจึงมีการนั่งดื่มเหล้ากัน มีคนในวงเหล้าประมาณ 4-5 คน ตอนที่นั่งดื่มเหล้ากับผู้ตาย ก็คุยด้วยกันตามปกติ ไม่ได้มีปากเสียงกัน
ตัวเองก็ขอยืนยันว่าไม่ได้มีการถ่ายคลิปแบล็กเมลผู้ตายเพื่อขู่อะไรบางอย่าง ตัวเองจะถ่ายคลิปแบล็กเมลผู้ตายทำไม เพราะเขาเป็นแค่คนธรรมดา ไม่ใช่เป็นข้าราการ และวันที่ 10 ต.ค. เหตุการณ์ในวงเหล้า ตัวเองขอยืนยันว่า ไม่ได้มีการขู่ให้ผู้ตายไปเอากระดาษใบล่ารายชื่อเพื่อปลดผู้ใหญ่บ้านหมู่ 10 มาให้ ยอมรับว่าตัวเองเป็นญาติกับนางสาวปัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 ไม่เคยรู้เรื่องที่ว่ามีการขู่ผู้ตายเรื่องใบล่ารายชื่อมาก่อน รู้ตอนที่ตำรวจนำตัวเองไปสอบปากคำที่โรงพัก และไม่เคยรู้เลยว่าหมู่ 10 มีการล่ารายชื่อเพื่อปลดผู้ใหญ่บ้าน ทั้งนี้ ตัวเองก็ขอยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องและรู้เห็นการตายนายบุญธงแต่อย่างใด
สำหรับวันที่ 15 ต.ค. 64 ช่วงเช้า นายบุญธง ผู้ตาย มาหาตัวเองที่บ้าน แล้วขอโทษตัวเองว่า "วันที่กินเหล้าด้วยกัน ถ้าผมพูดอะไรผิดพลาด ผมขอโทษด้วย" ตัวเองจึงบอกผู้ตายว่าวันที่กินเหล้าด้วยกันก็ไม่ได้มีอะไร ตัวเองยังรู้สึกงงเลยว่าทำไมผู้ตายถึงมาขอโทษ หลังจากนั้นผู้ตายได้นั่งดื่มเหล้ากับตัวเองอีกประมาณ 30 นาที จากนั้นเขาก็เดินทางออกจากบ้านตัวเอง
ช่วงเที่ยงและช่วงบ่าย ตัวเองไปทำธุระในในตัวเมืองอำเภอเซกา และมีการเบิกเงินจำนวน 1,800,000 บาทมาเป็นเงินของหมู่บ้าน เวลาประมาณ 16.00 น. ตัวเองไปเอาควายที่เลี้ยงไว้กลับเข้าบ้าน หลังจากนั้นตัวเองก็นอนอยู่ที่บ้านตลอด มีภรรยาเป็นพยานยืนยันว่าตัวเองอยู่บ้าน กระทั่งช่วงค่ำวันที่ 16 ต.ค. 64 ตำรวจได้มีการสอบปากคำ ถึงเรื่องการล่ารายชื่อปลดผู้ใหญ่บ้านหมู่ 10 และเรื่องในวงเหล้าวันที่ 10 ต.ค. ว่าตัวเองกับผู้ตายมีเรื่องผิดใจกันหรือไม่ และวันที่ 17-20 ต.ค. ตัวเองก็ได้ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกวัน เหตุที่เกิดขึ้นจากการดูสภาพศพคนตาย ตัวเองคิดว่านายบุญธงน่าจะถูกฆาตกรรม และคิดว่าคนที่ลงมือคงเป็นมือฆ่าระดับพระกาฬ
ด้านนายชัยยุทธ จันมี อายุ 57 ปี พ่อของนางสาวปัน (นามสมมติ) ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 10 เปิดเผยว่า ตัวเองรู้จักกับผู้ตาย แต่ไม่สนิทกัน เนื่องจากเคยเจอกันนาน ๆ ครั้ง เคยเจอกันล่าสุดเมื่อ 1 เดือนที่แล้ว ยืนยันว่าก่อนเกิดเหตุไม่ได้มีการขู่ให้คนตาย ให้เอาใบล่ารายชื่อที่จะปลดชุดทำงายของลูกสาวมาให้ตัวเองแต่อย่างใด ตัวเองเพิ่งรู้เรื่องนี้ตอนที่ไปให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
โดยเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 64 ช่วงเช้าตัวเองให้อาหารไก่อยู่ที่บ้าน แล้วทานข้าวเช้าทึ่บ้าน ช่วงกลางวันตัวเองเดินทางไปซื้อของที่อำเภอเมืองบึงกาฬ แล้วกลับถึงบ้านช่วง 14.00 น. จากนั้นตัวเองก็เอาของไปขายที่ตลาดอำเภอเซกา แล้วช่วงเย็นตัวเองก็อยู่ที่บ้าน และนอนที่บ้านทั้งคืน ไม่ได้ไปไหน ตัวเองขอยืนยันว่าม่มีส่วนเกึ่ยวข้องกับการตายของนายบุญธง ทั้งนี้ ตัวเองก็เชื่อว่าคนตายน่าจะถูกฆาตกรรม สำหรับคนตาย ในสายตาของตัวเองเขาเป็นคนดี ก่อนหน้านี้ ตัวเองก็ไม่ได้พูดคุยกับลูกสาว กรณีที่ชาวบ้านจะล่ารายชื่อชุดทำงานของลูกสาวออกแต่อย่างใด
รศ.ดร.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ดีวิทยาศาสตร์ มศว วิเคราะห์จากภาพบาดแผลของผู้ตายว่า 1.การแทงตัวเอง มักพบเพียงบาแผลตี้น ต่างจากบาดแผลบนร่างกายนายบุญธง 2.บาดแผลทั้ง 4 แห่งเป็นแผลลึก และอยู่ในตำแหน่งสำคัญที่ทำให้เสียชีวิตในเวลารวดเร็ว 3.เป็นไปได้ยากหากผู้ตายทำร้ายตัวเอง ก่อนจะเดินมาผูกคอตาย