จากคดีสังหาร นายวรยุทธ สังหลัง หรือ ผู้ใหญ่บัติ อดีตผู้ใหญ่บ้าน ม.1 ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ พร้อมครอบครัว และญาติๆ รวม 8 ศพ ภายในบ้านพักนายวรยุทธ เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2560 ต่อมาสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้ง 8 คน ประกอบด้วย 1.นายซูริก์ฟัต บ้านนบวงศ์กุล หรือ บังฟัต 2.นายประจักษ์ บุญทอย 3.นายคมสรรค์ เวียงนนท์ 4.นายอับดุลเลาะ ดอเลาะ 5.นายธวัฒชัย บุญคง 6.นายอรุณ ทองคำ 7.นายธนชัย จำนอง 41 ปี และน.ส.ชลิตา สังข์โชติ
วันที่ 7 พ.ย. 61 เวลา 09.30 น. ที่ศาลจังหวัดกระบี่ นายยูโซบ พริกดำ อายุ 51 ปี พร้อมด้วย นายจรีย์ บุตรเติบ อายุ 59 ปี และญาติของนายวรยุทธ หรือ ผู้ใหญ่บัติ ผู้เสียชีวิต ได้เดินทางมาฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 ภายหลังทนายความของผู้เสียหายทั้ง 8 คน ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งในคดีอาญาและแพ่ง ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณา โดยผู้ร้อง ให้จำเลยที่ 7 และ 8 ร่วมรับผิดในคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่น และชดใช้ค่าเสียหายด้วย
สำหรับคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2561 โดยพิพากษาประหารชีวิตจำเลยที่ 1-6 คือ นายซูริก์ฟัต, นายคมสรรค์, นายอับดุลเลาะ, นายอรุณ, นายประจักษ์ และนายธนชัย และให้จำเลยที่ 1-6 ชดใช้เงินแก่ญาติผู้เสียชีวิตรวม 8 คน เป็นเงินจำนวนกว่า 7.5 ล้านบาท ส่วนจำเลยที่ 7 นายธวัฒชัย พิพากษาจำคุก 1 ปี 9 เดือน และ น.ส.ชลิดา ตัดสินจำคุก 12 เดือน
โดยคำสั่งศาลในวันนี้เป็นเรื่องกรณียื่นอุทธรณ์ค่าสินไหมทดแทน หลังศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาไปแล้ว โดยให้จำเลยที่ 1-6 ชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้แก่ผู้ร้องที่ 1-8 โดยผู้ร้องที่ 5 ให้จำเลยร่วมกันชำระเงินสูงสุด 2,402,500 บาท ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ในเรื่องค่าสินไหมทดแทน
นายเกรียงศักดิ์ สารภี ทนายความฝ่ายจำเลย กล่าวว่า ทางจำเลยยินยอมที่จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนทั้งหมด ซึ่งได้มีการพูดคุยกับนายซูริก์ฟัตแล้ว ซึ่งเมื่อกระทำผิดก็ยอมที่จะรับผิด ส่วนเรื่องคดีอาญาก็จะต้องว่ากันไปตามกระบวนการของศาล
ขณะที่
นางอัญชลี พริกดำ ผู้รอดชีวิต พร้อมกับลูกสาว อีก 2 คน เผยว่า ตนยอมรับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ส่วนแนวทางต่อสู้คดีหลังจากนี้ มอบหมายให้ทนายนความเป็นผู้ดำเนินการต่อไป
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เปลี่ยนชีวิตของตนเองและลูกๆ ไปตลอดกาล รวมถึงทำให้ครอบครัวของตนต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบาก เนื่องจากตนเองต้องกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงดูลูกสาว 3 คนเพียงลำพัง หลังสามีเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ด้วย ตนเองต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการพาลูกสาว วัย 4 ขวบ คือ ด.ญ. ชลิยาห์ ซึ่ง ปัจจุบันกระสุนยังฝังอยู่ในศีรษะไปพบแพทย์ที่รพ. สงขลานครินทร์เป็นประจำ ตามที่แพทย์นัด เพื่อตรวจเช็กอาการ
ส่วนลูกสาวคนโต ด.ญ รัญชิดา อายุ 14 ปี หลังจากผ่าตัดกระสุนที่ฝังในศีรษะออกแล้ว ก็ต้องทานยาคลายเครียดอย่างต่อเนื่อง และลูกสาวทั้ง 2 คนยังมีอาการหวาดผวา ไม่สามารถอยู่ตามลำพังได้ หากนอนต้องเปิดเพลงหรือทีวีให้มีเสียงดังตลอดเวลา
ทั้งนี้หลังเกิดเหตุตนและลูก ได้ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่เอกชนก่อสร้างให้ ซึ่งอยู่ในอีกหมู่บ้านหนึ่ง เนื่องจากไม่สามารถอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมได้ เพราะฝังใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ส่วนด.ช.ยุทธศิลป์ อายุ 1 ปี 7 เดือน ลูกคนเดียวของผู้ใหญ่บัติ ที่รอดชีวิต ขณะนี้อยู่ในความดูแลของนายจรีย์ บุตรเติม พ่อตาของผู้ใหญ่บัติ และเด็กชายยุทธศิลป์ ได้เปลี่ยนนามสกุลมาใช้นามสกุลของนายจรีย์แทน ปัจจุบันน้องมีสุขภาพแข็งแรง ซุกซนตามวัย โดยนายจรีย์เผยว่าจะปกปิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัว จนกว่าหลานชายจะรู้ความจริงด้วยตนเอง
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์นี้ ยอมรับว่าฝังใจ และไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต ส่วนบ้านของผู้ใหญ่บัติ ล่าสุดให้ญาติไปอยู่ แต่มีการเปิดใช้งานแค่บางห้องเท่านั้น