จากรณีที่ นางเอ (นามสมมติ) อายุ 43 ปี พาน.ส.บี (นามสมมติ) ลูกสาว อายุ 20 ปี พร้อมญาติ เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองชุมพร ให้ดำเนินคดีกับนายพรชัย อายุ 43 ปี อดีตสามี พ่อแท้ ๆ ของน.ส.บี หลังข่มขืนกระทำชำเราลูกสาวมากว่า 7 ปี
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองชุมพร ตั้งข้อกล่าวหา ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นซึ่งเป็นผู้สืบสันดานโดนขู่เข็นด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้น อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นผู้สืบสันดานซึ่งไม่ใช่ภริยาหรือสามีตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยในวันพรุ่งนี้ (8 พ.ย. 61) จะนำตัวนายพร ไปฝากขังที่ศาลจังหวัดชุมพร และคัดค้านการประกันตัว แต่ไม่มีการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
วันที่ 7 พ.ย. 61
นายสมชาย พ่อของนายพรชัย ผู้ต้องหา และปู่ของน.ส.บี ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนเพียงระแคะระคายในเรื่องที่ลูกชายกระทำสิ่งที่ไม่ควรทำกับหลานสาว แต่ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน อีกทั้งหลานสาวก็ไม่เคยปริปากเล่าให้ตนฟังแต่อย่างใด จึงได้แต่ต้องข้อสงสัยไว้เท่านั้น หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวนายพรชัยแล้ว ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย หากพบว่าทำผิดจริง ตนก็รู้สึกว่าเสียใจในสิ่งที่ลูกก่อขึ้น แต่ผิดก็ว่าไปตามผิด เพราะยึดถือกฎหมายเป็นที่ตั้งมาโดยตลอด (อ่าน :
ปู่เชื่อ หลานสาวถูกพ่อแท้ ๆ ข่มขืน 7 ปี เพราะฤทธิ์ยาบ้า ย่าเคยพาทำแท้ง 2 รอบ)
นางเอ พาลูกสาวเข้าตรวจร่างกายที่ โรงพยาบาลชุมพร เพื่อหาร่องรอยที่ถูกพ่อกระทำชำเรา หลังจากนั้นเข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมเปิดเผยว่า ตนกับนายพร เคยเป็นสามีภรรยากันมา มีลูกด้วยกัน 2 คน เป็นผู้หญิงทั้งคู่ ต่อมาได้เลิกรากัน โดยตนไปมีสามีใหม่อยู่ที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ส่วนนายพรอยู่ที่ จ.ชุมพร โดยตอนนั้น ลูกสาวทั้งสองคน โดยเฉพาะน้องบี บอกกับตนว่า อยากอยู่กับพ่อ เพราะว่าไม่มีคนอยู่กับพ่อ จึงอยากอยู่เป็นเพื่อนพ่อ
กระทั่งปี 2558 ตนถูกตำรวจ สภ.บางสะพาน ดำเนินคดีและศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี เพิ่งจะพ้นโทษมาได้ 2 เดือน น้องบีมาบอกว่า ขอมาอยู่ด้วยกับตน ที่ อ.บางสะพาน เมื่อมาอยู่ด้วยกัน ตนก็สังเกตเห็นพฤติกรรมของลูกที่เปลี่ยนไป ประกอบกับเห็นข้อความที่นายพรส่งมาหา ตอนแรกตนคิดว่าเป็นห่วงลูก หวงลูก อยากให้ลูกกลับไปอยู่ด้วย แต่เมื่อตนถามลูกสาว ลูกสาวก็บอกว่าไม่อยากกลับไปอยู่กับพ่อแล้ว กระทั่งตนเห็นข้อความว่า “ถ้ามึงไม่กลับ กูจะเอาเรื่องนี้ไปประจาน” ตนจึงตัดสินใจถามลูก และบอกกับลูกว่า “ลูกมีอะไรบอกกับแม่ได้เลยนะ แม่ไม่โกรธไม่เกลียดลูก มีอะไรให้บอกกับแม่ตรง ๆ“ สุดท้ายลูกสาวยอมที่จะบอกเรื่องทั้งหมดกับตนว่า พ่อแท้ข่มขืนตั้งแต่อายุ 13 ปี จนครั้งสุดท้าย เมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ครั้งแรกที่ได้ฟังลูกเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตนรู้สึกแค้น จุก ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่ปัญญาจะทำอะไร "มันคิดได้ยังไง มันเป็นพ่อ มันทำอย่างนี้กับลูกได้ยังไง" ช่วงแรกตนคิดว่าจะอยู่เฉย ๆ ไม่แจ้งความ และให้ลูกเริ่มต้นชีวิตใหม่กับตน แต่นายพรไม่ยอมหยุด ยังส่งข้อความมาหาอยู่ตลอด กระทั่งตนทนไม่ไหว จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความ
โดยเมื่อวาน (6 พ.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวอดีตสามีตนมาสอบปากคำ ตนไม่เจอหน้า และไม่อยากเจอ เพราะโกรธมาก ส่วนเรื่องของสภาพจิตใจลูกสาวตอนนี้ก็ดีขึ้น หลังจากที่ตำรวจสามารถจับพ่อได้ ก่อนหน้านี้ วันแรกที่จะเดินทางกลับมาที่ จ.ชุมพร น้องบีไม่กล้ามาชุมพร เมื่อคืนก็ไม่กล้า กลายเป็นเด็กที่กลัวการเข้าพื้นที่ จ.ชุมพร ไปแล้ว นอกจากนี้ จากการที่ได้คุยกับลูกคนเล็ก ทราบว่าลูกเอาตัวรอดได้ และไม่ถูกพ่อกระทำชำเรา แต่ตนจะนำตัวลูกคนเล็กมาอยู่ด้วย เพราะกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
อย่างไรก็ตาม อนาคตของน้อง ตอนนี้ตนเองก็ยังไม่ได้รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะครอบครัวก็ค่อยข้างยากจน แต่โชคดีที่ญาติที่บางสะพานช่วยเหลืออยู่ อีกทั้งตนเพิ่งได้รับการปล่อยตัวออกมา จึงยังไม่มีงานทำ ถ้ามีงานทำก็จะเก็บเงิน และจะส่งลูกเรียนให้จบชั้นปริญญา เพราะตอนนี้น้องบีเรียนจบชั้น ม.6 แล้ว
ทั้งนี้
นางเอ กล่าวต่อว่า นายพรพูดได้อย่างไรว่าลูกสมยอม ลูกจะออกไปไหนก็ต้องให้มีอะไรกันก่อน ถึงจะออกจากบ้านได้ ลูกจะออกไปทำรายงานก็ต้องให้มีอะไรกับพ่อก่อน และครั้งล่าสุด เจ็บที่สุดของหัวอกคนเป็นแม่คือ น้องบีอยากมาหาแม่ แต่ก็ต้องยอมมีอะไรกับพ่อก่อน ถึงจะได้มาหาได้ ถ้าไม่ยอมก็ไม่ได้มา
จากนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองชุมพร พาตัวนางเอและน้องบี ไปยังบ้านพัก ที่ ต.ขุนกระทิง อ.เมือง จ.ชุมพร โดยบ้านมีลักษณะปลูกติดกัน มีบ้านไม้ 2 ชั้น คือ บ้านย่าของน้องบี ที่อยู่กับปู่ และน้องสาวของน้องบี
ส่วนบ้านปูนชั้นเดียวสีฟ้า คือบ้านของน้องบี อยู่กับนายพร 2 คน ซึ่งลักษณะของบ้านเป็นบ้านสวน โดยเจ้าหน้าที่ให้น้องบีอยู่ในรถ และชี้บ้านที่เป็นจุดเกิดเหตุเท่านั้น จากนั้น น้องบีโผเข้ากอดย่า ซึ่งกำลังรับประทานอาหารอยู่ น้องบีร้องไห้และบอก “หนูคิดถึงย่า หนูขอโทษ” ย่าตอบว่า “ไม่เป็นอะไรลูก ย่าไม่คิดอะไร” จากนั้น เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมจังหวัด เจ้าหน้าที่ตำรวจพาน้องบีขึ้นรถ น้องบีบอกว่าอยากได้ปันปัน แมวตัวโปรด ไปอยู่ด้วย
ย่าของน้องบี ผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนไม่รู้เรื่องที่ลูกชายของตัวเอง ข่มขืนหลานสาว เพิ่งจะมารู้ตอนที่เป็นข่าว เพราะทุกวันที่ผ่านมา ตนเองต้องตื่นแต่เช้าก็ไปอยู่ในสวนทุเรียน ออกไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงหลาน มาเลี้ยงปู่ เพราะว่าตอนนี้ปู่ก็ป่วยหนักเป็นโรคหัวใจ ทั้งนี้ ตนไม่ได้พาหลานไปทำแท้ง ตนขับรถไม่เป็น และพ่อของหลานก็รับสารภาพแล้วว่าเป็นคนพาลูกไปทำแท้ง ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดเรื่อง ตนก็ยังไม่ได้เจอลูกชายอีก ส่วนที่ตนไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น เพราะนอนกันคนละบ้าน ตนนอนบ้านไม้ ส่วนน้องบีกับพ่อนอนอีกหลัง