กรณีพนักงานสอบสวน สน.บางชัน พร้อมด้วยแพทย์นิติเวช สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ และอัยการ ร่วมกันตรวจสอบศพชายไม่ทราบชื่ออายุประมาณ 40 ปี ที่นอนเสียชีวิตบริเวณหน้าห้องสายตรวจ สน.บางชัน เวลาประมาณ 24.00 น. ของวันที่ 23 ต.ค.64
โดยก่อนที่ชายคนนี้จะเสียชีวิต พบว่าได้ก่อเหตุชิงรถแท็กซี่จากบริเวณห้างสรรพสินค้าแฟชั่นไอส์แลนด์มาก่อนที่จะถูกจับตัวได้ และคุมตัวมาสถานีตำรวจ จากนั้นก็พบว่าเสียชีวิต ภายหลังทราบชื่อ นายชยาศิล (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี
ล่าสุดวันที่ 24 ต.ค.64 ที่ผ่านมา ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้เดินทางไปยังวัดบางเตย ศาลา 4 ซึ่งเป็นสถานที่บำเพ็ญกุศลศพของนายโจ้ ผู้เสียชีวิต บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
นางยุ้ย (นามสมมติ) อายุ 60 ปี แม่ของผู้ตาย กล่าวว่า ช่วงเวลา 20.00 น. ของวานนี้ (23 ต.ค.63) นายโจ้ได้ขออกจากบ้านไปหาเพื่อน ตนก็ไม่ทราบว่าเพื่อนคนไหน ขณะนั้นนายโจ้อยู่ในอาการที่มึนเมา ตนก็ไม่ทราบว่าดื่มสุราไปกี่ขวด แม้พยายามห้ามปราม แต่นายโจ้ ไม่ฟังตนแม้แต่น้อย ตนจึงได้แต่บอกว่าให้ดูแลตัวเอง "ถึงแม้จะไม่รักแม่ ก็ขอให้รักตัวเองบ้าง" นายโจ้หันมาบอกกับตนว่า "แม่จะขอทุกเรื่องไม่ได้" เมื่อได้ยินเช่นนั้นตนจึงปล่อยให้นายโจ้ออกไปหาเพื่อน
ทั้งนี้ ตนไม่สามารถไปกอดไปรัดตัวนายโจ้ เพื่อห้ามไม่ให้ออกไปข้างนอกได้ เนื่องจากลูกชายเป็นคนตัวใหญ่ ก่อนที่เขาจะเดินออกจากบ้านไป ตลอดทั้งคืนตนนอนไม่หลับ และเป็นห่วงนายโจ้ กังวลว่าลูกชายจะเข้าบ้านไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้นำกุญแจบ้านไปด้วย ตนก็พยายามโทรศัพท์ไปหาหาแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้
ต่อมาช่วงเข้าของวันนี้ (24 ต.ค.64) ตนได้เปิดทีวีดูข่าวสาร เห็นข่าวช่องหนึ่งนำเสนอเกี่ยวกับนายโจ้ แต่ขณะนั้นไม่ทราบว่าเป็นนายโจ้ ตนมาสะดุดรูปร่างของผู้เสียชีวิต ที่อ้วนคล้ายกับลูกชาย ลักษณะการแต่งตัวนุ่งกางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ และได้ถ่ายภาพจากหน้าจอทีวีเอาไว้ จากนั้นซูมเข้าไปดู พบว่ากระเป๋าของผู้เสียชีวิตคล้ายกับของนายโจ้ เป็นกระเป๋าลายสก็อตสีน้ำตาลเข้มและสีอ่อน
ผ่านไปครู่หนึ่งตนก็ได้เปลี่ยนมาดูช่องอมรินทร์ ทีวี มีรายละเอียดมากเพิ่มขึ้น ลักษณะของผู้เสียชีวิตนั้น ใส่เสื้อลายพรางทหาร นุ่งกางเกงขาสั้น ค้นตัวแล้วไม่พบอาวุธ จึงมั่นใจว่าเป็นลูกชายของตัวเอง จึงชักชวนหลานสาวไปที่สน.บางชัน เมื่อไปถึงได้สอบถามกับตำรวจที่เข้าเวร ว่านายโจ้ได้ไปโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตแล้ว เจ้าพนักงานได้แจ้งว่านายโจ้เสียชีวิตแล้ว พร้อมกับสอบถามว่าตนเป็นอะไรกับนายโจ้ แต่ตนไม่ได้ตอบคำถาม ก่อนจะขอดูรูปผู้เสียชีวิต เมื่อดูรูปภาพแล้วก็แน่ชัดว่าคือลูกชายของตนจริง ๆ
เบื้องต้น ตำรวจให้ข้อมูลกับตนว่า ได้พยายามช่วยนายโจ้เต็มที่แล้ว ยอมรับว่าขณะนั้นได้ขอดูรูปภาพเพิ่มเติม เพราะกังวลว่านายโจ้ อาจจะถูกทำร้ายร่างกาย ขณะเดียวกันตำรวจได้ยืนยันว่าไม่ได้มีการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด เพราะตำรวจก็กลัวผิดระเบียบ ภายหลังจากที่ดูรูปภาพของนายโจ้แล้ว พบว่าหน้าอกมีรอยปั๊มหัวใจ ส่วนบริเวณร่างกายไม่พบร่องรอยการถูกทำร้าย นอกจากนี้แพทย์ชันสูตรศพ ระบุว่า ลูกชายเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลว สาเหตุมาจากดื่มสุราจัด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนไม่ได้ติดใจเอาความ เพราะรู้ดีว่านายโจ้ มักจะดื่มสุราหนัก ประกอบกับใจร้อน และไม่มีใครเอาอยู่
ขณะเดียวกันตนก็ไม่ทราบว่า ในครั้งนี้นายโจ้ จะยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่ แต่ยอมรับว่าเมื่อ 2 ปีก่อน นายโจ้ ได้เสพยาเสพติด ประกอบกับดื่มสุราขับรถพุ่งชนลงไปข้างถนน โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก จากนั้นได้หยุดเสพยาเสพติด แต่ยังคงดื่มสุรา หากมีเทศกาลจะดื่มหนักมากกว่าญาติพี่น้อง และพอช่วงที่ 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา นายโจ้ได้ดื่มเกือบทุกวัน จะไปดื่มที่ตลาดนัดปัฐวิกรณ์ สำหรับลักษณะนิสัยของนายโจ้ ถึงแม้ว่าจะชอบดื่มสุราแต่เป็นคนคุยตลก ไม่เคยทำร้ายร่างกายใคร รักเพื่อน ไม่ให้ร้ายใคร และเป็นเสาหลักของครอบครัว
"เขาจะเป็นขา เป็นแขน และแม่จะเป็นหัวสมองและอยู่ด้วยกัน เขาก็เป็นลูกชายคนเดียว ก่อนที่จะรับหลานสาวมาอยู่ด้วยกัน หลังจากนี้ไม่มีเขาแล้ว แม่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เคว้งคว้างไปหมด ซึ่งก่อนที่เขาจะออกจากบ้านไป แม่มีลางสังหรณ์ เขาก้มกราบเท้าคล้ายกับลา ขออโหสิกรรม ยอมรับว่าตอนนั้นในใจคิดไม่ดี และแอบคิดว่าครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พูดกับลูก และสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม่อยากขอโทษผู้เสียหาย ที่ลูกชายไปสร้างความเดือดร้อนให้ และหากมีโอกาสอยากจะฝากบอกลูกว่า ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูก ลูกควรที่จะเชื่อฟังแม่บ้าง" แม่ของผู้ตาย กล่าวทิ้งท้าย
พ.ต.อ.กิตติ แสงศิริวุฒิ ผกก.สน.บางชัน เปิดเผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านได้รับแจ้งว่ามีคนร้ายทำร้ายร่างกายแท็กซี่ พร้อมขับรถหลบหนี หลังรับแจ้งเหตุสายตรวจได้เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ ต่อมาได้รับแจ้งว่าแท็กซี่คันดังกล่าวจอดอยู่ข้าง รพ.นพรัตน์ ในลักษณะคล้ายกับชนเสาไฟฟ้า
จากการตรวจสอบในที่เกิดเหตุ พบว่าสภาพรถแทบจะไม่ได้รับความเสียหายอะไร ผู้ใต้บังคับบัญชาได้สอบถาม รปภ.ของโรงพยาบาล แจ้งให้ทราบว่าผู้ก่อเหตุเดินกลับไปที่บริเวณห้างแฟชั่นไอส์แลนด์ สายตรวจและรปภ.ได้ช่วยกันจับกุม ขณะที่นำตัวมาที่โรงพัก ผู้เสียชีวิตอยู่ในอาการคล้ายคนเมาสุรา แต่จากการตรวจสอบร่างกาย ไม่พบร่องรอยบาดแผลจากอุบัติเหตุนำรถแท็กซี่ขับไปชนเสาไฟฟ้า
เมื่อสายตรวจนำตัวมาถึงโรงพัก ตำรวจได้ช่วยกันประคองผู้เสียชีวิตลงมาจากรถ ก่อนที่ผู้เสียชีวิตจะลงมานอนกลับพื้นจุดที่เกิดเหตุ สภาพเหมือนคนเมาไม่ได้สติ แต่ยังไม่ทันได้สอบปากคำหรือตรวจหาสารเสพติดในร่างกาย สภาพก็มีอาการไม่ค่อยสู้ดีแล้ว กระสับกระส่าย จึงแจ้งไปยังมูลนิธิกู้ภัย เพื่อนำตัวไปส่งโรงพยาบาล
เมื่อมูลนิธิกู้ภัยมาถึงจึงได้ตรวจร่างกาย พบว่าผู้เสียชีวิตขาดอากาศหายใจ จึงช่วยกันปั๊มหัวใจ หลังจากนั้นให้กู้ชีพโรงพยาบาลมาสมทบ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ และลงความเห็นว่าเสียชีวิตแล้ว ตำรวจได้แจ้งอัยการ ฝ่ายปกครอง และแพทย์ ร่วมกันชันสูตรศพ เบื้องต้นไม่พบร่องรอยบาดแผลการทำร้ายใด ๆ ก่อนจะนำศพไปชันสูตรศพ เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ตนขอยืนยันว่าการที่ผู้เสียชีวิตเสียชีวิตนั้น ไม่ได้มีการทำร้ายร่างกายใด ๆ ส่วนผู้เสียชีวิตมีประวัติเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่นั้น ตนขออนุญาติไม่ตอบ เนื่องจากตนไม่อยากละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียชีวิต
นายรัชพงศ์ ลิมปะชัยวงศ์ เจ้าของรถแท็กซี่ เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุช่วงเวลา 22.00 น. ตนได้ไปจอดรถอยู่ริมถนนใกล้กับหน้าห้างแฟชั่นไอส์แลนด์เพื่อจะรอรับลูกสาว ขณะนั้นนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ในรถ ยอมรับว่าลืมล็อกประตูรถ กระทั่งชายคนดังกล่าวที่อยู่ในอาการคลุ้มคลั่งคล้ายกับเสพยาเสพติด เปิดประตูรถขึ้นมานั่งฝั่งโดยสารซ้ายของตน แต่งกายเสื้อลายทหาร กางเกงขาสั้น ก่อนจะบอกให้ออกรถ พร้อมกับอ้างว่าได้กลิ่นเลือดหรือไม่ โชว์มือขึ้นมา และข่มขู่ว่าจะควักลูกตาของตน
จากนั้นตนจึงบอกให้ใจเย็น ๆ แต่เขาก็สั่งให้รีบออกรถ ขณะนั้นไม่ทราบว่ามีอาวุธหรือไม่ แต่เขามีกระเป๋าสะพานข้าง ก่อนจะพยายามชกต่อยตน 3-4 รอบ แต่ตนเอาแขนบังเอาไว้ และรีบขับรถไปตามคำสั่งของเขา ขณะที่ขับรถออกไปนั้น ตนเห็นว่าข้างทางหน้าห้างฯ มีป้ายรถเมล์ จึงตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไป และรีบลงจากรถทันที ยอมรับว่าตกใจไม่ได้นำกุญแจลงมาจากรถ ทำให้ชายที่เสียชีวิตขับรถไปต่อ ตนจึงขอความช่วยเหลือจากพลเมืองดีโทรแจ้ง 191 และติดต่อลูกสาว
จากนั้นตนได้ไปแจ้งความที่ สน.คันนายาว แต่ตำรวจบอกว่าที่เกิดเหตุไม่ได้อยู่ในท้องที่ ให้ไปแจ้งที่สน.บางชัน เมื่อตนนั่งแท็กซี่จะกลับบ้านได้รับการติดต่อจาก สน.บางชัน ให้ไปเจอกันที่เกิดเหตุ ขณะที่กำลังเดินทางได้รับแจ้งอีกครั้งว่าเจอรถแท็กซี่ของตนแล้ว จอดชนเสาไฟอยู่บริเวณหน้า รพ.นพรัตน์ราชธานี เมื่อไปตรวจสอบก็พบว่าใช่รถของตนจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงสน.บางชัน ตนก็เข้าไปในห้องสอบปากคำ แต่ก็พบเห็นชายเสียชีวิตตะโกนโวยวาย สักพักเห็นว่ามีกู้ภัยมาที่โรงพัก ตนยืนยันว่าไม่มีใครทำร้ายชายที่เสียชีวิต เบื้องต้นคาดว่าชายที่เสียชีวิตนั้นเสพยาเสพติดเกินขนาด เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ที่ผ่านมาตนเห็นแต่ในข่าว ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ส่วนตัวไม่ทราบว่าชายที่เสียชีวิตนั้นเป็นใครมาจากไหน