เมื่อวันที่ 26 ต.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้รับการร้องเรียนมาจากนางสาวทิพย์ อายุ 36 ปี หลังจากเดินทางมาแจ้งความที่สน.สำเหร่ หวังพึ่งกฎหมายดำเนินคดีกับสามี ที่ทำงานอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในข้อหาทำร้ายร่างกาย
นางสาวทิพย์ เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ตนรู้จักกับสามีในกลุ่มหาคู่ของเฟซบุ๊ก “มะพร้าวยิ่งแก่ยิ่งมันส์” เมื่อปี 62 โดยเมื่อพูดคุยกันได้ประมาณ 3 เดือน ตนจึงตกลงคบหากับสามี เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นคนพูดจาอ่อนหวาน น่ารักสุภาพ ทำให้ตนได้สานสัมพันธ์กันเรื่อยมา แต่ก่อนสามีของตนมีอาชีพเป็นช่างสักอิสระ แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 จึงทำให้ไม่มีงาน ส่วนตนทำอาชีพเป็นเอเจนซี่อิสระ ตนจึงรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในบ้านเรื่อยมา
กระทั่งเดือนพ.ค.63 ตนได้ทะเลากับสามีด้วยความหึงหวง สามีของตนเข้าใจผิดคิดว่าตนแอบคุยกับผู้ชายคนอื่น สามีจึงต่อยเข้าที่ตาซ้ายและทุบเข้าที่ศีรษะ ตนคิดว่าการที่ผู้ชายทำร้ายผู้หญิงนั้นไม่สมควร จึงขอเลิกกับอีกฝ่าย แล้วแยกย้ายกันไป โดยสามีนั้นย้ายไปขออาศัยอยู่กับเพื่อน
เมื่อผ่านไป 4 เดือน เข้าสู่เดือนก.ย.64 สามีได้กลับมาขอโอกาส อีกฝ่ายสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายร่างกายตนอีก ในอดีตที่ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ตนจึงให้โอกาส และเช่นเคยตนยังคงเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายภายในบ้าน เพราะสามีไม่มีงานทำ หลังจากที่กลับมาคบกัน ตนได้พูดคุยกับสามีเกี่ยวกับการสอบเข้ารับราชการตำรวจ เนื่องจากพ่อของสามีเคยเป็นตำรวจและเสียชีวิตในหน้าที่ ทำให้สามีได้รับสิทธิ์ทายาทในการสอบเข้ารับราชการตำรวจ โดยตนได้ดูแลสามี หาอาหารดี ๆ ให้กิน เข้มงวดให้สามีอ่านหนังสือสอบ อีกทั้งตนยังพาสามีไปฉีดฟิลเลอร์บริเวณหน้าผาก เพื่อเติมเนื้อให้นูน เนื่องจากสามีเคยถูกอริต่างสถาบันตีจนกะโหลกยุบ เสียเงินค่าฉีดฟิลเลอร์ 15,000 บาท
กระทั่งสามีสอบติดและเข้ารับราชการตำรวจ ซึ่งในวันที่ 29 มี.ค.64 สามีได้ขอให้ตนจดทะเบียนสมรสด้วย โดยให้เหตุผลว่าอยากให้ตนได้รับสิทธิ์ในการรักษาพยาบาล เนื่องจากตนสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ป่วยบ่อย ตนกับสามีจึงได้เดินทางไปจดทะเบียนสมรสกันที่เขตคลองสาน โดยสามีพูดว่า “เรารักเธอนะ เธอเป็นผู้หญิงที่ช่วยเหลือเราในวันที่เราไม่มีอะไรเลย”
เมื่อเล่ามาถึงจุดนี้ นางสาวทิพย์ ก็น้ำตาไลออกมา พร้อมกับกล่าวต่อว่า หลังจากนั้นสามีเข้ารับราชการตำรวจและจดทะเบียนสมรส สามีก็เริ่มมีนิสัยเปลี่ยนไป ชอบชวนทะเลาะ และท้าทายเลิกให้หย่า พร้อมพูดจาย้อนตนเวลาที่ตนถามว่าทำไมกลับดึก เช่น ถามมากจะลองไปทำงานด้วยกันไหม อีกทั้งยังติดสุราหนัก แอบเอาไปดื่มที่ทำงาน และเสพกัญชาหนักขึ้น
ในวันที่ 24 ต.ค.64 เวลา 13.30 น. ตนจับได้ว่าสามีซ่อนเงินไว้ เนื่องจากมีการแจ้งเตือนในโทรศัพท์มือถือว่าเงินเข้าบัญชี จำนวน 6,000 บาท ซึ่งตนตรวจสอบแล้วว่าเป็นเงินล่วงเวลาของสามี แต่ปกติสามีจะไม่ปิดบังตน โดยขณะนั้นตนถามสามีว่าเงิน 6,000 บาท คือเงินอะไร สามีไม่พอใจ และได้หยิบโทรศัพท์วิดีโอคอลหาแม่ พร้อมกับบอกแม่ว่า “ทนไม่ไหวแล้ว” ก่อนจะด่าทอตนด้วยถ้อยคำหยาบคาย
จากนั้นสามีก็ได้ปรี่เข้ามาเขย่าแขนตน ตนจึงบอกแม่สามีว่าสามีซ่อนเงิน สามีไม่ฟังอะไร ต่อยเข้าที่ใบหน้าของตน พร้อมทุบตีไม่ยั้ง ตนได้แต่ยกมือขึ้นป้องกันตัว เมื่อตนเสียหลักล้มนอนอยู่ข้างเตียงนอน อีกฝ่ายก็กระทืบตนซ้ำ ๆ พร้อมบีบคอ ตนตะโกนร้องให้คนช่วย สามีจึงได้แต่งตัวแล้วออกจากห้องขี่รถจักรยานยนต์หนีหายไป ซึ่งรถคันดังกล่าวเป็นชื่อสามี แต่ตนเป็นคนผ่อนให้เดือนละ 774 บาท ผ่อนครบแล้ว 10 เดือน
นางสาวทิพย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนรักสามีแต่ขณะนี้ทนไม่ไหวแล้ว เรื่องหย่าคงต้องคุยกันหลังจากดำเนินคดี เพราะตนคิดว่าถูกกระทำมากเกินไป ที่ตนออกมาร้องสื่อเพราะกลัวว่าตนจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากสามีเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ อีกทั้งผู้บังคับบัญชาของสามียังอยากให้ตนไกล่เกลี่ยพูดคุยกับสามี เพราะเป็นเรื่องในครอบครัว ตนคาดว่าจะร้องเรียกค่าเสียหายจากสามี จำนวน 100,000 บาท เนื่องจากที่ผ่านมาตนดูแลสามีมาโดยตลอด โดยในวันนี้ตนพยายามติดต่อสามีหลายครั้ง แต่ไม่สามารถติดต่อได้
นอกจากนี้ ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ยังได้คลิปสนทนาระหว่างผู้เสียหายกับแม่ของตำรวจคนดังกล่าว ซึ่งแม่ของฝ่ายชาย ระบุว่า "ผู้เสียหายทำตัวเอง หย่าให้เรียบร้อย จะเรียกร้องเงินก็มาตกลงกันให้เรียบร้อย ถ้าคุยไม่รู้เรื่องก็เจอกันที่ศาล"