เปิดใจแม่สาวออทิสติก สะบั้นรัก 9 ปี ผัวหื่น แค้นคาตาคร่อม จูบปากลูก – สุดแสบ ขี้โม้ อวดรวย (คลิป)

12 พ.ย. 61
จากกรณีนางมัทธพร ผดุงเวียง อายุ 47 ปี ต.บ้านใหม่หนองไทร อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว แจ้งความจับ นายณรงค์รัตน์ อ่ำพิจิตร อายุ 67 ปี พ่อเลี้ยง ข่มขืนลูกสาวออทิสติกวัย 17 ปี นั้น (อ่าน : ผวาหนัก! ลูกออทิสติกถูกพ่อเลี้ยงข่มขืน แม่แค้นเห็นคาตา เคยอภัยยังทำซ้ำ ลั่นเจอคุก)
น.ส.เจี๊ยบ (นามสมมติ) เพื่อนบ้านนายเบิ้ม
วันที่ 11 พ.ย. 61 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ ม.1 ต.บ้านใหม่หนองไทร อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว น.ส.เจี๊ยบ (นามสมมติ) เพื่อนบ้าน เปิดเผยว่า นายณรงค์รัตน์ อ่ำพิจิตร หรือ เบิ้ม อายุ 67 ปี พ่อเลี้ยงของเด็ก 17 ปี ผู้ป่วยออทิสติก มีนิสัยขี้คุย ขี้โม้ ชอบโอ้อวดว่าตัวเองร่ำรวย ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้รวยจริงอย่างที่กล่าวอ้าง นอกจากนี้ ยังชอบดื่มเหล้าหน้าบ้าน ในช่วงเย็นหลังเลิกงาน โดยปกติแล้วนายเบิ้มมีอาชีพเป็นนายหน้า และเป็นสายให้ตำรวจ ซึ่งเท่าที่สังเกต ตนก็ไม่เคยเห็นว่านายเบิ้มจะมีพฤติกรรมเชิงชู้สาวกับลูกเลี้ยงออทิสติก เพราะเป็นเรื่องภายในบ้าน นอกจากนี้ เรื่องข่มขืนเกิดขึ้นมา ตั้งแต่ช่วง พ.ศ.2560 และเรื่องถึงมูลนิธิปวีณาฯ แต่กลุ่มลูกและพวกของนายเบิ้มที่เป็นตำรวจ ได้มาขอไกล่เกลี่ยกับแม่ของเด็ก และบอกว่าจะให้เงินค่าเสียหาย สุดท้ายนายเบิ้มก็ได้กลับมาอยู่กับแม่ของเด็ก ส่วนเรื่องเงิน ตนก็ไม่รู้ว่ามีการชดใช้กันหรือไม่ น.ส.เจี๊ยบ กล่าวต่อว่า ตนตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งตนคิดว่าหากตำรวจจับได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เกิดเรื่อง ก็คงไม่เกิดเรื่องซ้ำรอยเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งพฤติกรรมของนายเบิ้ม ตนก็ไม่รู้ว่าเป็นคนเจ้าชู้หรือไม่ แต่ตนได้ข่าวมาว่าก่อนหน้านี้นายเบิ้มมีภรรยามาแล้วหลายคน กระทั่งมาอยู่กินกับแม่ของเด็ก นอกจากนี้ ตนทราบมาว่า ทุกครั้งที่นายเบิ้มไปนั่งร้านอาหารคาราโอเกะ ก็จะทำนิสัยใจใหญ่ ชอบแจกเงินให้เด็กเสิร์ฟ นอกจากนี้ ตั้งแต่เกิดเรื่องนายเบิ้มก็หนีไป และยังไม่กลับมาที่บ้าน
นางมัทธพร ผดุงเวียง แม่ของน้องซิน
นางมัทธพร ผดุงเวียง อายุ 47 ปี แม่ของน้องซิน (นามสมมติ) เด็กออทิสติก เจ้าของบ้าน ได้พาทีมข่าวดูจุดเกิดเหตุภายในห้องของน้องซิน (นามสมมติ) ภายในห้องมีเบาะปูพื้นที่ไว้ใช้นอน และเป็นจุดที่นายเบิ้มข่มขืนน้องซิน พร้อมเปิดเผยว่า ตนคบหาดูใจกับนายเบิ้มมาประมาณ 9 ปี แต่เพิ่งย้ายมาอยู่ด้วยกันประมาณ 3 ปี ซึ่งนายเบิ้มเคยเข้าไปข่มขืนลูกตนแล้วตั้งแต่ต้นปี 2560 ซึ่งครั้งนั้น ตนเห็นนายเบิ้มอยู่ในสภาพเปลือยกายอยู่ในห้องกับลูกของตน แต่ลูกตนไม่ได้ถอดเสื้อผ้า ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ตนจึงไล่นายเบิ้มออกจากบ้าน กระทั่งช่วงปลายปี 2560 นายเบิ้มได้กลับมาขอคืนดีจนตนใจอ่อน และได้ให้เข้ามาอยู่กินกันอีกครั้ง นางมัทธพร เล่าต่อว่า เมื่อนายเบิ้มกลับมาอยู่กับตน ตนก็ยังมีความหวาดระแวงว่านายเบิ้มจะข่มขืนลูกตนอีก ตนจึงต้องพาลูกไปทำงานด้วยทุกวัน กระทั่งลูกของตนเริ่มป่วยและชัก ซึ่งเป็นอุปสรรคในการทำงาน ตนจึงให้ลูกอยู่บ้านกับนายเบิ้ม ซึ่งในตอนนั้น นายเบิ้มก็มีอาการป่วย เบาหวานขึ้นตาจนมองเห็นลาง ๆ และเป็นฝีในหู ตนจึงคิดว่านายเบิ้มเริ่มป่วย และคงทำอะไรลูกของตนไม่ได้ ซึ่งตลอดเวลาที่กลับมาอยู่ด้วยกันนายเบิ้มก็มักจะซื้อขนมมาให้ลูกตนกิน รักใคร่เอ็นดูอย่างดี และมักจะมาพูดกับตนว่า "ให้เลี้ยงลูกไปเถอะ สงสารที่เป็นแบบนี้ เด็กมันพิการ ไม่อยากให้มันอด" ซึ่งทำให้ตนชะล่าใจ
นายณรงค์รัตน์ อ่ำพิจิตร หรือ เบิ้ม ผู้ก่อเหตุ
ซึ่งชนวนเหตุที่ทำให้ตนสงสัย เกิดจากเมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ก่อน เมื่อตนกลับมาจากที่ทำงานตอนช่วงเย็น พบว่าลูกของตนอาบน้ำแล้ว และมีเนื้อตัวสะอาด ใส่ผ้าอ้อมชิ้นใหม่ ทั้งที่ลูกตนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จึงทำให้ตนสงสัยว่าใครเป็นคนเปลี่ยนให้ เมื่อตนถามนายเบิ้มก็บ่ายเบี่ยง และบอกว่าไม่รู้ เพราะไม่ได้อยู่บ้าน และตนสังเกตว่าผ้าอ้อมถูกเปลี่ยนใหม่แทบทุกวัน แต่สิ่งที่แน่ใจมากที่สุด เกิดจากคำพูดของนายเบิ้มที่มาพูดกับตนว่า "มันรู้เรื่องทุกอย่างเลยนะ พูดอะไรก็รู้ บอกอะไรมันก็ทำ" กระทั่งในวันเกิดเหตุ ตนกลับมาบ้านและไม่พบใคร ตนจึงเดินไปที่ห้องของลูกสาว พบว่าลูกของตนนอนหงายอยู่บนเบาะ เสื้อถูกเปิดขึ้นจนเห็นหน้าอก และนายเบิ้มคร่อมลูกของตน และจูบปาก ตนจึงตะโกนว่า "เห้ย มึงทำอะไรลูกกู" นายเบิ้มก็รีบลุก และเดินมาจับมือตน และมาอ้อนวอน ขอโทษตน และกราบตน บอกว่าไม่ได้ทำอะไรจริง ๆ นางมัทธพร กล่าวว่า ในวินาทีนั้น ตนใจสลาย และได้แต่นั่งอึ้ง ได้แต่ถามนายเบิ้มว่า "พี่ทำมันทำไม ไม่สงสารหนูหรอ พี่ทำนานแล้วหรือยัง" ซึ่งนายเบิ้มก็เอาแต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ แต่ครั้งนี้มีอะไรมาดลใจให้ทำ ซึ่งหลังจากนั้น ตนก็ไล่นายเบิ้มออกจากบ้านไป ซึ่งตนรู้สึกแค้นใจอย่างมาก ในวันเกิดเหตุตนนั่งตัวสั่น และคิดจะฆ่านายเบิ้ม แต่ต้องข่มใจตัวเองเอาไว้ เพราะคิดว่าถ้าตนติดคุก ก็คงไม่มีใครดูแลลูก อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่า ไม่รักผู้ชายคนนี้อีกแล้ว เพราะตอนนี้ตนก็ไม่ได้ลำบาก หากินเลี้ยงปากท้องลูกสาวได้ ไม่รักไม่ห่วงนายเบิ้มอีกแล้ว อยากให้นายเบิ้มไปจากชีวิตตนสักที และจะดำเนินคดีนายเบิ้มตามกฎหมาย

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ