จากกรณี นายณัฏฐวัฒน์ เพียรสกุล หรือ โบ๊ต อายุ 27 ปี ติวเตอร์สอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ ถูกฆาตกรรม โดยคนร้ายนำศพยัดไว้ใต้รถแท็กซี่ในซอยประชาชื่น 4 แยก 1-4 แขวง เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ ในพื้นที่ สน.เตาปูน เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 61 กระทั่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.เตาปูน สามารถจับกุม นายสุรสิทธิ์ จันทร์วงศ์สกุล อายุ 30 ปี ผู้ก่อเหตุได้ ขณะขับรถหลบหนี ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่พบศพ (อ่าน :
บุกพิสูจน์จุดสยอง! ฆ่าหมกศพหนุ่มติวเตอร์ซุกใต้แท็กซี่ ตร.รวบมือสังหาร รับแค้นศัตรูหัวใจ)
วันที่ 12 พ.ย. 61 พลตำรวจโทสุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.เตาปูน ควบคุมตัวนายสุรสิทธิ์ไปทำแผนประกอบรับคำสารภาพ
โดย
นายสุรสิทธิ์ ระบุว่า สาเหตุที่ทำไปเพราะโกรธแค้นหึงหวง ประกอบกับวันเกิดเหตุได้โทรศัพท์เรียกให้ผู้ตายออกมาเพื่อเคลียร์ปัญหา แต่เกิดมีปากเสียงกัน ซึ่งผู้ตายด่าตนเองว่าโง่ที่โดนแย่งแฟน ตนจึงโมโห และชักปืนขึ้นมายิงผู้ตายจนเสียชีวิต โดยปกติเป็นคนพกปืนอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าเรื่องจะถึงขึ้นนี้ จึงอยากจะฝากขอโทษครอบครัวผู้ตายด้วย ส่วนที่นำศพมาทิ้งที่บริเวณนี้ เนื่องจากคุ้นเคยและอยู่แถวบ้าน
โดย
แม่ของนายณัฏฐวัฒน์ ผู้ตาย เปิดใจว่า ลูกชายเป็นคนที่รักการเรียนมาก เป็นคนที่สนใจหาความรู้ให้กับตัวเอง และที่สำคัญเป็นคนที่ดูแลแม่ ส่วนใหญ่ลูกชายจะดูแลทุกอย่าง ตั้งแต่ของกิน ยันของใช้ รวมถึงเงินใช้จ่ายในแต่ละวัน ซึ่งความสูญเสียครั้งนี้ยอมรับว่าเกินกว่าที่จะพูดออกมาได้ เพราะถือว่าเป็นลูกชายคนเดียว เป็นที่สุดในชีวิตของตัวเอง และถึงแม้วันนี้จะไม่ร้องไห้ให้เห็น ไม่ใช่ว่าไม่เสียใจ แต่เพราะร้องจนไม่มีน้ำตาแล้ว ความสูญเสียครั้งนี้เกินกว่าคำบรรยายได้ ลูกชายไม่ใช่เพียงแค่ความหวังของตนเอง แต่เป็นความหวังเดียวของตระกูล ตั้งแต่เด็กจนโต ลูกชายของตนเป็นคนที่ขยันเรียน ตั้งใจเรียนมาก หากเรียนที่สถาบันใดก็จะได้ทุนทุกแห่ง เป็นคนที่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ และไม่เคยละทิ้ง
แม่ของผู้ตาย กล่าวว่า ในวันเกิดเหตุไม่มีสิ่งผิดปกติ ลูกชายเข้ามาขออนุญาตออกไปสอนพิเศษ ออกจากบ้านไปในวันที่ 8 พ.ย. เวลา 16.40 น. ไปเจอกับชายคนหนึ่งที่โทรศัพท์นัดหมายให้ออกไปติวหนังสือให้ โดยเจอกันที่ห้างย่านฝั่งธน แต่สิ่งที่ตนเองมองลูกว่าแปลกไปกว่าวันอื่น คือ สังเกตว่าลูกชายหน้าคล้ำดำขึ้น ประกอบกับวันดังกล่าว ตัวเองได้ยื่นปากกาแดงให้กับลูกเพื่อใช้ในการสอนหนังสือ พร้อมพูดออกไปว่า “นี่คือปากกาแดงด้ามสุดท้าย” ซึ่งภายหลังจากที่ลูกหยิบปากกา และเดินออกไปจากบ้าน นึกขึ้นได้ว่าทำไมถึงพูดประโยคดังกล่าว ลักษณะเหมือนหลุดปากพูดออกไป ซึ่งก่อนที่จะออกจากบ้านไปครั้งนี้ ลูกชายยังลืมนาฬิกาโปรดไว้ภายในบ้าน ซึ่งเป็นนาฬิกาสีทองที่สวมใส่ในวันเกิดเหตุ โดยผู้ตายเดินออกจากบ้านไปแล้ว และหันกลับมาบอกตนว่าลืมนาฬิกา จึงกลับเข้ามาเอานาฬิกาและออกไปสอนพิเศษ
ขณะที่ในวันเกิดเหตุ ไม่ได้มีบุคคลอื่นเข้ามารับลูกชายของตัวเองออกไป แต่ลูกชายได้เดินออกจากบ้าน เพื่อไปนัดเจอกับลูกศิษย์ที่ห้างดังกล่าว เพราะปกติลูกชายเป็นคนในพื้นที่ สามารถเดินเข้าออกซอย และไปยังจุดนัดหมายได้อย่างง่ายดาย ยอมรับว่าหลังจากทราบข่าวการเสียชีวิตของลูกชาย จนถึงตอนนี้ ยังรู้สึกช็อก ร้องไห้ไม่ได้ เพราะมันจุกอยู่ข้างใน เจ็บแบบสุด ๆ
ส่วนเรื่องของความรัก หากในฐานะคนเป็นแม่ให้คะแนนเรื่องนี้ คงจะให้คะแนนติดลบ เพราะผู้ตายไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เฉพาะเรื่องของการคบผู้หญิง ที่ผ่านมาตนเองจะเห็นแฟนสาวของลูกชายน้อยมาก ลูกชายไม่ใช่คนที่เปลี่ยนแฟนบ่อย ถ้าคบกับใครก็จากค่อย ๆ คบทีละคน ซึ่งหากจะบอกว่า การตายของลูกครั้งนี้ ตายเพราะความรักอาจจะดูแรงเกินไป แต่อาจตายเพราะความรักในความเป็นครู เนื่องจากในวันดังกล่าว ลูกชายตนยังอยู่ในอาการป่วย และกินยารักษาตัวอยู่ แต่ก็ยังฝืนตัวเองออกไปสอนหนังสือ แลกกับเงินจำนวนไม่มากที่มีคนจ้าง
ทั้งนี้ เรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงคนล่าสุดที่เข้ามาในชีวิตของลูกชาย
แม่ของนายณัฏฐวัฒน์ ตอบสั้น ๆ ว่า ลูกชายเคยพาแฟนมาเพียงแค่ปากซอยเท่านั้น ตนเองจึงไม่ทราบว่าใครเป็นใคร ซึ่งตลอดช่วงที่ผ่านมา ตนเคยสอนให้ลูกเป็นคนระวังคน ให้ระวังคนแปลกหน้า อย่าเชื่อใจใครแม้กระทั่งหน้าแม่ของตัวเอง แต่สุดท้ายลูกชายกลับมาจบชีวิต เพราะความไว้ใจคนแปลกหน้า
แม่ของนายณัฏฐวัฒน์ ฝากไปถึงมือก่อเหตุว่า ทำไมถึงใจร้อน มีอะไรทำไมไม่คุยกันก่อน โดยการสอบถามต้นสายปลายเหตุ คนอย่างลูกชายตนเอง มีอะไรสามารถพูดได้ตรง ๆ ส่วนเรื่องของการขอขมาศพ ตนเองยังไม่ได้รับการติดต่อประสานงานจากใคร ซึ่งหากถึงเวลาก็ค่อยว่ากันอีกครั้ง
ด้าน
นายปู (นามสมมติ) คนสนิทของผู้ตาย เล่าว่า ครูโบ๊ตเป็นคนที่ดีมาก มีมนุษย์สัมพันธ์กับทุกคน ยอมรับว่าดีจริง ๆ เป็นคนไม่ออกนอกลู่นอกทาง มีคนรักคนชอบมาก ส่วนใหญ่จะออกไปทำงาน กลับมาก็อยู่ติดบ้านไม่ออกไปไหน เดินเล่นอยู่ภายในรั้วบ้าน และไม่เคยมีเรื่องชกต่อยกับใครให้ตัวเองเห็นมาก่อน บางครั้งตนเองกับผู้ตายก็มักแวะมาปรึกษาเรื่องช่องทางการทำมาหากิน เพราะผู้ตายเรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ มีความรู้ด้านเทคนิคของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แล้วตัวเองในฐานะช่าง ก็มักจะไปขอความรู้ และได้รับการถ่ายทอดจากครูโบ๊ตอยู่เป็นประจำ ซึ่งทุกครั้งผู้ตายก็จะสอนโดยไม่คิดเงิน
นอกจากนี้
นายปู กล่าวว่า ความเชื่อส่วนตัว เมื่อคืนที่ผ่านมา เวลาประมาณ 00.30 น. ตนเองยังเจอกับครูโบ๊ต เดินไปมาอยู่ภายในบ้าน ซึ่งเป็นที่ประจำที่เจ้าตัวมักทำเป็นกิจวัตรประจำวันขณะที่มีชีวิตอยู่ ตัวเองยังทักครูว่า “อาจารย์ ยังไม่นอนหรอ” ซึ่งครูก็ไม่ได้หันมาตอบกับตัวเองแต่อย่างใด เพียงแค่เดินผ่านและหันหลังให้กับตัวเอง และจากการสังเกตลักษณะท่าทาง เห็นว่าครูมีลักษณะอิดโรย ไม่มีการโต้ตอบใด ๆ กับตนเอง และจากลักษณะเสื้อผ้าที่สวมใส่ เป็นชุดโปรดของผู้ตาย ซึ่งเป็นคนละชุดกับชุดที่ถูกฆาตกรรม ซึ่งเป็นกางเกงขาสั้น ยอมรับว่าตอนที่ทราบข่าวครั้งแรกเมื่อเช้า ยังไม่เชื่อว่าครูเสียชีวิตแล้ว เพราะเมื่อคืนที่ผ่านมา ตนเองยังเห็นครูอยู่ภายในบ้าน
ทั้งนี้ ภายหลังทราบข่าวการสูญเสีย ตนเองยังรู้สึกช็อก แต่ช่วงที่เกิดเหตุจนถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา ตนเองไม่ทราบว่าครูโบ๊ตเสียชีวิตแล้ว ซึ่งจะทราบจากแม่ของผู้ตายเมื่อเช้าที่ผ่านมา หลังจากทราบข่าวก็เสียใจมาก พร้อมทั้งฝากถึงผู้ที่ลงมือก่อเหตุฆ่าครูโบ๊ตว่า ความจริงไม่มีเหตุผลใดที่จะลงมือก่อเหตุถึงขั้นนี้ ยอมรับว่าคนเรามีทางออก ผู้หญิงก็มีมากมาย ทำแบบนี้มันไม่ใช่ทางออก ให้นึกถึงหัวอกเขาและเรา และยืนยันว่าหากมีการเข้ามาขอขมา และอโหสิกรรม ตนเองจะไม่ให้อภัย และอยากให้ได้รับโทษสูงสุด ตกตายตามกันไป ตามกฎหมายของประเทศ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสูงสุดได้หรือไม่ เพราะไม่เคยมีโทษประหาร ดังนั้น จึงทำให้สังคมไทย จึงเป็นเหมือนทุกวันนี้ เพราะคนไม่กลัวความผิด