เป็นคู่รักที่หวานกันหนักมาก สำหรับ นางเอกสาว ริชชี่ อรเณศ กับพระเอกหนุ่ม ก็อต อิทธิพัทธ์ ที่ตอนนี้จากคู่จิ้นกลายมาเป็นคู่จริง พร้อมเล่าชีวิตวัยเด็กจากนักกีฬาแบตมินตันสู่เส้นทางการเป็นนางเอกแถวหน้า ผ่านทางรายการ คุยแซ่บ show
ตอนนี้นางเอกเรื่อง พระจันทร์แดง เพิ่งออนแอร์ไป เป็นยังไงบ้างกระแสตอบรับ?
ริชชี่ : ก็ดีค่ะ เหมือนตัวหนูดูเองรู้สึกว่าภาพสวยมากๆ ไปถ่ายต่างจังหวัดเป็นโลเคชั่นธรรมชาติตลอด แต่พอเห็นงานรู้สึกหายเหนื่อย เพราะทุกอย่างออกมาสวยงาม
เล่นคู่กับโตโน่ เป็นยังไงเล่นยากไหม?
ริชชี่ : หนูรู้สึกว่าพี่เขาตั้งใจมากๆ กับคาแรกเตอร์ แล้วหนูก็เหมือนเป็นคนทำการบ้านกับคาแรกเตอร์ตัวเอง แฟนๆ ก็ดีใจที่ได้เห็นผลงานเราอีกครั้ง ภาพรวมทุกอย่างเขาบอกว่า ซีจีก็ดี นักแสดงก็ดีหมดเลย ภาพสวย
ที่ก็อตเขาลบรอยสัก เอาจริงๆ เราบอกให้เขาลบไหม?
ริชชี่ : ไม่เกี่ยวกับหนูเลยค่ะ คือหนูไม่เคยคิดว่าเขาควรเป็นยังไงเลย เขาเป็นอะไรก็ได้ แต่เรื่องลบรอยสัก อาจจะเป็นความคิดของเขาที่เขาวางแผนมานานแล้ว เหมือนเขาเคยลบไปข้างนึง แล้วตอนนี้เหลืออีกข้างนึง
เขาลบตรงไหน?
ริชชี่ : น่าจะที่แขน เพราะเวลาถ่ายละครด้วย เขาสักมาตั้งแต่เด็กแล้ว ก็เลยค่อยๆ ลบไปเรื่อยๆ ถามว่าเขาบ่นว่าเจ็บไหมก็น่าจะเจ็บอยู่มั้งคะ
เคาะให้คนทางบ้านเลย เราไม่ได้สั่งให้ลบ?
ริชชี่ : ไม่ใช่หนูค่ะ
แฟนๆ ว่ายังไงบ้างหลังจากที่เปิดตัว ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ด้วยว่าเราคบกับเขาแล้ว?
ริชชี่ : คือตอนเขาคุยกับหนู หรือตอนเขาทำอะไรให้ เขาจะบอกว่าไม่ต้องคิดอะไรมากนะ เป็นห่วง อยากช่วยเหลือ เราดูแบบน่าสงสาร แล้วก็เวลาชวนไปข้างนอก เขาบอกว่าเขาชอบทำกิจกรรม ถ้าไม่ไปปกติเขาชวนเพื่อนเขาไปอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมาก เราก็เลยรู้สึกว่าสบายใจเป็นเพื่อนกัน เวลาคุณแม่ถามหนูก็บอกว่าเขาไม่น่าชอบหนูนะ เขาพาไปแบบเพื่อนปกติ เพราะปกติเขาก็พาเพื่อนเขาไปอยู่แล้ว
ตอนที่คุยกันเราคิดว่าเป็นพี่น้อง?
ริชชี่ : เขาคุยกับหนูตอนแรกๆ เหมือนเขามีเรื่องไม่สบายใจ ตอนนั้นถ่ายละครด้วยกัน แล้วคุณพ่อป่วย เขาบอกว่าเขาเครียด อยากชวนคุย อยากมีใครที่คุยแบบไม่ให้เขาโฟกัสเรื่องที่เขาเครียดอยู่ เราก็เลยโอเคแบบรับฟัง เพราะแม่ก็บอกช่วยเพื่อนหน่อย ถ้าเขาคุยกับเราแล้วสบายใจ ก็ให้เขาคุย ฟังเขาหน่อยนะ เพราะปกติหนูจะไม่ค่อยคุยกับใครเป็นการส่วนตัว ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่แบบพี่สาว ช่วงนั้นก็เลยรับฟัง ก็เหมือนสนิทกับเขา แต่มันก็มีช่วงที่ห่างเล่นละครจบแล้ว ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน
ความรู้สึกมันมาเริ่มเปลี่ยนตอนไหน?
ริชชี่ : เหมือนเขากลับมาเจอหนูอีกครั้งตอนโปรโมท แล้วเขาก็ไปให้สัมภาษณ์ตามรายการ แล้วเขาไปสัมภาษณ์อันนึง เหมือนหนูเป็นคนแบบที่เวลาเขาเกิดเรื่องอะไรเขานึกถึงหนูอะไรสักอย่าง แล้วเขาก็ทักหนูมาว่าเห็นที่สัมภาษณ์ไหม เขาพูดจริงนะไม่ได้เป็นโปรโมท
ตอนนั้นเรารู้สึกยังไง หัวใจพองไหม?
ริชชี่ : ตอนนั้นหนูก็รู้สึกแบบอ๋อ...มันก็ผ่านไปนานแล้วเนอะ ตอนนั้นที่เขาพูดถึง แล้วหนูแค่คิดว่าตอนนี้คือปัจจุบันก็ไม่เกี่ยวกัน ก็โอเคขอบคุณมาก แล้วเขาก็เหมือนพิมพ์กลับมาอีกแบบยาวมากๆ แบบอธิบาย เขาอยากพูดนะ ชีวิตคนเรามันสั้นถ้าไม่พูดตอนนี้ก็ไม่รู้จะพูดตอนไหน ก็เหมือนพิมพ์ยาวๆ ว่าเขารู้สึกดีกับหนู ถ้าไม่บอกเดี๋ยวหนูจะไม่รู้ เขาก็บอกว่าเขาก็ชอบหนูแหละ แต่เขาไม่เคยพูด แต่ว่าก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะ เขาบอกว่าเขากลัวหนูจะกลัวเขา เขาบอกให้ทำทุกอย่างเหมือนเดิมเลย อย่าหนี เขาแค่อยากทำดีด้วย แต่แค่บอกไว้เฉยๆ
เขากลัวถ้าบอกชอบหนูปุ๊บ แล้วหนูไม่ชอบ หนูก็จะหนี?
ริชชี่ : หนูเป็นคนแบบถ้าใครที่ไม่ได้เป็นเพื่อนหรือพี่น้อง เราก็จะเว้น เพราะไม่อยากให้เขารู้สึกแบบนั้น
ทำไมเราถึงไม่ออกห่าง?
ริชชี่ : เพราะว่าเขาบอกเขาจะเป็นเพื่อนเหมือนเดิมเลย หนูไม่ต้องคิดมากเลยที่พูดไป ก็ลืมๆ ไปก็ได้ แต่เขาแค่อยากให้หนูรู้ไว้ เผื่อหนูไม่รู้เลย
ความรู้สึกเราเริ่มเปลี่ยนเมื่อไหร่?
ริชชี่ : ตอนนั้นหนูรู้สึกว่าเราผ่านช่วงเวลาหลายอย่างมามากๆ เรามีเหตุการณ์หลายอย่างที่เขาเหมือนทำให้เราโตขึ้น ที่ผ่านมาเหมือนเราจะมีเซฟโซนเยอะมากๆ ที่แบบว่าไม่อยากสนิทกับใครเลย แต่เขาก็ทำให้เราเป็นเพื่อนเขามาได้ เราก็เลยคิดว่าก็ลองเป็นเพื่อนเขาดูก็ได้ ถ้าไม่ต้องคิดว่าเขาชอบเรา ก็คิดว่าพยายามเป็นเพื่อนกัน
แล้วมันมาเป็นแฟนได้ยังไง เพราะว่าริชชี่ไม่เคยมีแฟนเลย เราไม่รู้จักคำว่ารักมาก่อนหรอ?
ริชชี่ : หนูชอบดูหนังรักแบบชอบทุกอย่างที่เป็นเลิฟสตอรี่ เราเป็นคริสเตียน เชื่อในเรื่องความรักมากๆ แต่แค่เรารู้สึกว่ามันยังไม่เกิดขึ้นกับเด็กหรืออะไรในวัยที่ผ่านมา
ไม่เคยแอบชอบใครเลยเหรอ?
ริชชี่ : ถ้าชอบก็แค่ชอบ แต่ไม่ได้ถึงขั้นว่าอยากไปเจอเขา เหมือนแม่เคยถามว่า ถ้าคนที่เราแอบชอบเหมือนดาราเกาหลีเขามาชอบเราเราจะโอเคไหม แม่ก็รู้สึกว่าทำไมเราไม่ชอบใครเลย หนูก็บอกว่าแค่ชอบที่เขาอยู่ในทีวี ให้เขาอยู่ตรงนั้นแหละไม่ต้องยุ่งกับหนู
จากคู่จิ้นมาเป็นคู่จริงจากวันนั้นถึงวันนี้ ความเป็นเพื่อน ณ วันนั้นกับวันนี้เป็นยังไงบ้าง มีความแตกต่างกันไหม?
ริชชี่ : ถ้าตอนเป็นเพื่อน หนูรู้สึกว่าเจอกันตอนทำงาน ก็รู้สึกว่าเป็นเพื่อนที่น่ารักนะ แต่พอแยกกลับไปเราจะไม่ให้ติดต่อ ถ้าชวนไปไหนก็จะไม่ค่อยไป แต่พอถ้าเขาเป็นแฟนเรารู้สึกว่า เราก็ควรให้โอกาสเขาแบบ เขาชวนไปกินข้าว หรือไปทำอะไร ก็ควรลองไปดู ไปมากขึ้น
เขาขอเป็นแฟนไหม?
ริชชี่ : ไม่เลย เขาไปลงไอจี แล้วเหมือนมีแฮชแท็กขึ้นมาว่า #ริชชี่แปลว่าแฟนก็อต หนูไม่รู้จะทำตัวยังไง หนูเป็นแฟนเขา ตอนนั้นแบบหนูเครียดมาก
หนูคิดว่าคบเป็นเพื่อนกันมาตลอด จนเขาเปิดตัวในไอจีว่านี่คือแฟนผม?
ริชชี่ : ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น แต่หนูคิดว่าหนูไม่เคยมีแฟนเลย ถ้าต้องใช้คำว่าแฟน ตอนแรกหนูคิดนะจะต้องนานกว่านี้ ที่ไม่ใช่แบบตอนนี้เลย
เราไม่รู้ด้วยว่าเราเป็นแฟนเขาแล้ว เรามารู้หลังจากนั้น 2 ชั่วโมง?
ริชชี่ : ใช่ค่ะ เหมือนตอนนั้นหนูเอามือถือไปชาร์จ ก็ผ่านเวลาไป จนเขาทักมาเห็นไหมที่ลงแท็กไป หนูก็เลยเข้าไปดู แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อ
เอาง่ายๆ คือก็อตมันมือชกเรา?
ริชชี่ : ก็ไม่รู้เหมือนกัน
แล้วถ้าสมมติเขาไม่ลงไอจียอมรับเขาเป็นแฟนไหม?
ริชชี่ : หนูไม่เคยคิดถึงเรื่องคำว่าแฟน ถ้าคำว่าแฟนแล้วต้องทำตัวยังไง มันต่างจากเพื่อนยังไง หนูไม่รู้ ถ้ามันยังเด็กอยู่แล้วไม่ได้จริงจังจริงๆ ก็คงเหมือนเพื่อน แต่แค่ให้เขาสนิทมากกว่าคนอื่น
ตอนนี้คบได้นานเท่าไหร่แล้ว?
ริชชี่ : น่าจะเกือบปีแล้ว
บอกรักกันหรือยัง?
ริชชี่ : ก็มีบ้าง
แล้วอะไรที่ทำให้เรามั่นใจว่าโอเคเราเป็นแฟนเขาก็ได้?
ริชชี่ : เหมือนมีแม่หนูหลายคนก็เป็นห่วงว่าเป็นยังไง เป็นแฟนกันได้ยังไง แล้วเขาชอบถามว่าแล้วเรารักเขาไหม หนูรู้สึกว่าเราอยากให้เขามีความสุข ไม่ว่ายังไงก็ช่าง ไม่เป็นแฟนกันก็ได้ เขาไปชอบคนอื่นก็ได้ แต่เขาก็เหมือนบอกว่าเราทำให้ชีวิตเขามีความสุขขึ้น ถ้ามีเราอยู่ด้วย
เราไม่เคยมีแฟนมาก่อน รู้สึกไหมว่าคบกันเร็วไป?
ริชชี่ : หนูรู้สึกว่าถ้าหนูไม่ได้เป็นนักแสดง หรือถ้าไม่ได้มีสื่อ หนูว่าหนูอาจจะใช้เวลากับเขาน่าจะนานกว่านี้ เพราะหลายอย่างเราอาจจะไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง อันนี้ ด้วยมีสื่อมีอะไรหลายอย่างด้วยที่ทำให้เราได้เห็นเหมือนบางทีเขาแสดงความรู้สึกถึงเรา
เรียกว่าเป็นคู่คลั่งรักได้ไหม?
ริชชี่ : ก็มีความสุข แต่ไม่รู้แบบคลั่งไหม เพราะหนูไม่รู้ว่ามันต้องวัดหรือเปรียบเทียบกับอะไร แต่แค่รู้สึกว่าเขาอาจจะเป็นคนแรกที่หนูรู้สึกรักเขาแบบนี้ เพราะยังไม่เคยรู้สึกรักใครแบบนี้เลย
ที่รักคุณก็อต และอยู่กับคุณก็อตแล้วมีความสุข เพราะว่าริชชี่มองก็อตเหมือนเป็นพี่สาวอีกคน?
ริชชี่ : เหมือนหนูจะถ้าไม่ใช่พี่สาวหรือผู้หญิงเราจะไม่สนิทด้วยเลย หรือจะไม่ได้คุยด้วยเยอะ หรือไม่แบบไปกินข้าวหรือไปทำอะไรด้วย เราเลยรู้สึกว่าชีวิตที่ผ่านมาเรามีแต่ครอบครัว พี่สาว แม่ๆ หนูก็ไม่ได้มองว่าเขาเป็นผู้ชายที่มาชอบเรา แต่เขาเป็นเหมือนพี่สาวเราอีกคนที่เข้ามาเป็นห่วง ดูแล แล้วก็เป็นทุกอย่าง
เขารู้ไหมว่าเรามองเขาเหมือนพี่สาว?
ริชชี่ : เขารู้ เขาก็โอเค
ก่อนที่จะเป็นแฟนกัน ก็อตเองก็เข้ามาปรึกษาทุกเรื่อง ทั้งเรื่องครอบครัว แล้วเรื่องประสบการณ์ความรัก เคยคิดไหมว่าถ้าเขามาแบบนี้เขามาจีบเรา?
ริชชี่ : ตอนแรกไม่คิด เพราะคิดว่าหนูไม่น่าใช่คนที่เขาชอบแน่ๆ จากหลายอยากที่เขามาคุย เล่าเรื่องชีวิตเขาให้ฟัง หนูแค่รู้สึกว่าหนูอาจจะเป็นคนแค่รับฟัง เพราะหนูรับฟังทุกคนอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้คิดว่าเขาจะชอบหนู แบบไทท์ทุกอย่างของเขาไม่น่าเป็นเรา
เขาเคยมาคุยเรื่องแฟนคนก่อนๆ ไหม หรือผู้หญิงในอดีต?
ริชชี่ : เล่าอยู่ เหมือนหนูก็ชอบอยากรู้ เขาถามว่าทำไมถึงไม่เคยมีแฟน มองความรักยังไง หนูแค่รู้สึกว่าเป็นเพื่อนมันดีกว่า แล้วหนูก็ถามว่าทำไมถึงมีแฟน แล้วทำไมถึงเลิกกัน เราก็ชอบถามคนที่มีความรักแบบนี้ เขาก็เลยอธิบายเล่าให้ฟัง ก็เลยแบบรู้บ้าง
ละครเรื่องพระจันทร์แดงเป็นเรื่องที่เท่าไหร่แล้ว?
ริชชี่ : น่าจะ 6 นะคะ
ในเรื่องมันต้องมีความรัก ถ้าเราไม่เคยมีความรักมาก่อน เราไปเอาต้นแบบมาจากไหน?
ริชชี่ : เหมือนตอนเด็กๆ ที่หนูเล่น หนูจะได้บทเหมือนคนที่ไม่รู้จักความรักเลย แล้วก็มาเจอคนนึง แล้วเราก็จะมีความสับสนว่านี้คือความรักหรือเปล่า ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้ต้องตีความอะไร ทุกอย่างก็เป็นธรรมชาติ แต่พอหลังๆ มันเริ่มมีบทที่ต้องมีความรักมากขึ้น หนูก็พยายามดูหนังศึกษานู่นนี่ ซึ่งพอเราเข้าใจตัวละครตัวนึงจริงๆ เราก็จะรู้ว่ามันควรจะเป็นแบบนี้ เราอาจจะโตขึ้นตามแต่ละบทที่รับ
คุณก็อตโรแมนติกมาก?
ริชชี่ : จริงๆ ไม่ค่อยมีโมเมนต์โรแมนติกแบบที่เราคิด คือเราดูหนังส่วนใหญ่เป็นฝรั่งเขาจะมีความโรแมนติกมากๆ แล้วบ้านหนูมีความเป็นฝรั่งเล็กๆ ก็จะมีความแบบเทคแคร์ ใส่ใจ บอกรัก แต่เขาไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาจะมีความนิ่งๆ เขาชอบบอกว่าเขาโรแมนติกด้วยการดูแลไปรับไปส่ง แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่านั่นคือโรแมนติก เพราะมันเป็นสิ่งที่พ่อแม่ ครอบครัวเราดูแลอยู่แล้ว
ถ้าเราเลือกได้อยู่กับเขาสองคนอยากทำอะไรที่ไหน?
ริชชี่ : ที่โรแมนติกเหรอคะ จริงๆ เป็นเพื่อนกันมานาน บางทีพอจะทำอะไรที่มันโรแมนติก แล้วมันตลก
เขาไปเที่ยว เขาแต่งตัวเหมือนกันตลอดเลย?
ริชชี่ : เวลาไปซื้อเสื้อผ้า เราเป็นคนไม่แต่งตัวเลย เราก็ขอเขา พาไปเลือกให้ เขาก็บอกว่าตัวนี้ดีซื้อตัวนี้ ต้องมีนะ หนูก็แบบทำไมต้องตัวนี้ แต่เราก็ซื้อไป แต่พอไปรู้อีกทีเขามีแบบนี้เหมือนกัน
เขาหลอกให้เราซื้อ จะได้แต่งตัวเหมือนกัน?
ริชชี่ : ตอนนั้นไม่ได้เป็นอะไรกัน ตอนนั้นก็งงๆ ว่าทำทำไม
เขาขี้หึงไหม?
ริชชี่ : หนูว่าหนูไม่เคยทำอะไรที่แบบให้เขารู้สึกหึงได้
แล้วถ้ามีเลิฟซีนกับคุณโตโน่ เขามีบอกไหมว่าอย่าเยอะนะ?
ริชชี่ : ไม่มีค่ะ เคยถามแล้วเขาก็บอกเป็นงานเข้าใจ เพราะเขาก็เล่นละครเหมือนกัน เหมือนที่เขาเล่นมาน่าจะหนักกว่า ส่วนหนูก็ไม่มีบอกเขานะ หนูไม่อยากไปหึงหรืออะไร แต่ว่าถ้าวันไหนที่เขาทำอะไรไม่โอเค เรารู้สึกว่าไม่อยากหึง ไม่อยากมานั่งพูดว่าทำไมถึงทำแบบนี้ ถ้าไม่โอเคเราก็ไปเลย
เคยมีทะเลาะ แต่เขาไม่รู้ตัวว่าทะเลาะกันเหรอ?
ริชชี่ : เขาชอบคิดมาก แบบเหมือนดูหนัง ทำไมพระเอกทำแบบนี้ เหมือนคนทำงาน พอห่างกันพระเอกก็ไปนอกใจ แล้วเหมือนเขาอยู่ดีๆ ก็คิดขึ้นมาว่าหนูสงสัยอะไรในตัวเขาหรือเปล่า จะชวนทะเลาะหรือเปล่า เขาก็เหมือนทำพฤติกรรมแปลกๆ เหมือนเลิ่กลั่ก แล้วก็ตอบเหมือนแนวเข้าข้างพระเอกว่าไม่หรอก ไม่ได้นอกใจนะ หนูก็งง แค่เราวิเคราะห์ละคร
ซึ่งเราก็คิดแค่ว่าทำไมถึงคิดว่าทำสิ่งนี้ไม่ผิด เราก็เลยไม่ค่อยโอเคว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น แต่เขาไปคิดอีกแบบนึง แต่ก็เป็นพูดธรรมดาแล้วหนูก็เงียบไป ตอนหลังเขาไปออกรายการพูดถึงเรื่องนี้ หนูก็เลยบอกว่าหนูไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น ก็คุยกัน เขาก็แบบเข้าใจผิด เขาอาจจะเป็นคนมีความรักมาเยอะ เขาก็เลยแบบคิดมากไปเอง
จริงไหมช่วงโควิดริชชี่กลับไปอยู่เชียงใหม่ ก็อตทนคิดถึงไม่ได้บินไปหาเลย?
ริชชี่ : เขาขับรถมา 8-9 ชม. นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเจอครอบครัวเราไหม?
ริชชี่ : เขาเคยเจอตอนอยู่ในกองอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นแฟน พอตอนเป็นแฟนเคยเจอผ่านๆ บ้าง ตอนที่คุณพ่อ คุณแม่หนูมาหาที่กรุงเทพฯ แต่ว่าไม่เคยไปกินข้าวหรือคุยจริงจัง วันนั้นเขาก็มาที่บ้าน คุณแม่ก็ทำอาหารให้ทาน แต่ว่าเขาก็ไปพักกับรุ่นพี่
ที่บ้านว่าไง?
ริชชี่ : เหมือนคุณแม่ตอนสาวๆ ก็จะเปรี้ยวๆ หน่อย ทำไมลูกทั้งคู่ คือหนูมีพี่สาว เป็นแบบนี้ไม่มีแฟน ไม่สนใจอะไรเลย แม่ก็อยากให้มีแฟน แต่คุณพ่อจะหวงนิดนึง เพราะคุณพ่อตอนหนุ่มๆ เจ้าชู้ คุณพ่อจะบอกว่าถ้าไม่ได้เจอคนที่รักหรือดูแลดีกว่าพ่อ พ่อบอกพ่อดูแลเอง
นั่นไม่ใช่แค่การเปิดตัวแฟนครั้งแรกต่อหน้าคุณพ่อ คุณแม่ แต่เป็นการพาหนุ่มคนแรกเข้าบ้าน?
ริชชี่ : ใช่ พี่สาวก็ไม่เคยมีแฟนเหมืนกัน
พอเขากลับไป พ่อว่าไง?
ริชชี่ : พ่อไม่ค่อยพูด เหมือนดีเลไป 2-3 วัน แล้วพ่อถึงจะมีฟิตแบ็คกลับมา เขาก็พูดว่าเขาก็ยังหวงอยู่ดี เขารู้สึกว่าเขาก็เป็นห่วง ก็ค่อยๆ ดูไป แม่ก็บอกว่าลูกโตแล้วให้ลูกเรียนรู้ชีวิตเอง ป๊าก็อยากให้เราเป็นเด็ก
นี่แสดงว่าที่เราและพี่ไม่เคยมีแฟน เพราะป๊าเหรอเปล่า?
ริชชี่ : ไม่เลย เพราะหนูเอง หมายถึงว่าพวกหนูซ้อมแบต อยู่แต่คอร์ดแบต แล้วอยู่กับครอบครัว เราไม่ได้รู้สึกว่าต้องไปทำอะไรอย่างอื่น หรือต้องมีเรื่องอื่นเข้ามท เหมือนในหัวเราก็โฟกัสตอนเด็กซ้อมหนักมาก แต่ก็ไม่เขาใจ เพื่อนที่เป็นนักกีฬาก็มีแฟนกัน แต่พวกหนูไม่เคยมีความรู้สึกนั้นว่าอยากมี
แล้วเรามีโอกาสเจอฝั่งครอบครัวของก็อตไหม?
ริชชี่ : เคยเจอคุณแม่ ตอนนั้นไปทานข้าว คุณแม่ก็ยิ้มๆ แล้วแบบขอบคุณนะคะที่เหมือนมาเป็นเพื่อนกัน ทำให้น้องก็อตเหมือนมีเพื่อน มีคนดูแลกัน แม่ก็บอกว่าดูแลกันนะลูก
แล้วเราได้วางแพลนอนาคตไว้ไหม จะไปถึงจุดแต่งงานไหม?
ริชชี่ : หนูว่าน่าจะคุยกันยากนิดหน่อย ขนาดขอเป็นแฟนเขาก็ยังไม่ค่อยพูด หนูก็เลยรู้สึกว่าเราไม่น่าจะคุยเรื่องนั้นกัน
เขาให้สัมภาษณ์อย่างริชชี่คือแม่ของลูกเลย?
ริชชี่ : หนูว่าเขาอาจจะพูดไปอย่างนั้น
อยากบอกอะไรก็อต?
ริชชี่ : อยากให้เลี้ยงขนมเยอะๆ ก็เป็นห่วง ชีวิตตอนนี้มีอะไรอีกเยอะแยะที่ต้องเติบโต แล้วถ้ามีปัญหาเราก็ซับพอร์ต แล้วก็เป็นกำลังใจให้เขา แล้วอยู่เคียงข้างเขาแบบนี้อยู่แล้ว ก็หวังว่าเขาจะมีความสุขในทุกวัน ก็อยากเห็นแค่นั้น
รักไหม?
ริชชี่ : รักค่ะ
ตอนเด็กเกือบตายมารอบนึง เพราะอะไร?
ริชชี่ : ตอนเล็กๆ เลยที่ป่วย หมอบอกหนูเป็นโรคลำไส้ไม่ค่อยแข็งแรง กินนมแม่ก็ท้องเสียตั้งแต่เป็นทารกแล้ว แล้วตอนนั้นอยู่ฝางมีแต่คลินิกเล็กๆ แม่ก็พาไปหาหมอ เพราะไข้ขึ้นสูง เขาก็บอกว่าชีพจรอ่อนมาก แล้วท้องเสียจนไม่ไหวแล้ว แล้วเขาบอกไม่รับ ให้ไปหาโรงพยาบาลใหญ่ๆ แม่ก็รีบพาลงไปเชียงใหม่ แล้วไปหาหมอ แม่บอกตอนนั้นหนูดูแบบเหี่ยวไปหมดแล้ว แล้วหมอเขาก็หาที่เติมน้ำเกลือให้ก็รอดูอาการอย่างเดียว ไม่รู้ว่าเป็นไง เพราะรู้ว่ารักษาได้ไม่เยอะ พอเช้ามาเหมือนได้รับน้ำ ก็เหมือนดีขึ้น ตอนแรกคิดว่าหนูจะไปแล้ว
คือตอนนั้นเกือบตายเลยเหรอ?
ริชชี่ : ใช่ เพราะว่าแบบเล็กมาก เป็นแบบทารกเลย เป็นนักกีฬาก็น่าจะแข็งแรง นี่ถึงขั้นป่วย รับเหรียญเสร็จ แข่งชนะ แต่ก็อ้วกหามเข้าโรงพยาบาลอีก?
ริชชี่ : ใช่ค่ะ เป็นแบบจริงๆ ก่อนจะเข้าชิง คือรอบแรกๆ ก็แข่งมาปกติ แต่พอจะชิงแล้วเหมือนท้องเสีย อาเจียน กินน้ำเปล่าก็อาเจียน กินไรไม่ได้เลย แล้วพอแข่งจบต้องขึ้นรับรางวัล ตอนแรกเขาก็ถามว่าขึ้นไหวไหม ถ้าไม่ไหวก็จะให้คนอื่นขึ้น เขาบอกนิเดียวๆ ขึ้นไปก่อน พอขึ้นไปหนูก็แบบถ่ายรูปไม่เสร็จ แล้วหนูเหมือนจะอ้วก แล้วก็อ้วกลงข้างๆ เพราะว่ามันไม่ไหวแล้ว
แล้วก็มีเฉียดตายเพราะตกเขา?
ริชชี่ : อันนี้โตแล้ว อยู่ประมาณปี2 ปี3 ปีใหม่กลับไปที่เชียงใหม่ แล้วไปปั่นจักรยาน แล้วช่วงนั้นก็ฟิตมาก คุณพ่อก็อินกับกีฬาปั่นจักรยาน ก็ปั่นขึ้นเขากัน แล้วก็ก็แซง ปั่นแรงมาก เหมือนเราปั่นเร็วมากๆ แล้วมันเป็นทางลง เบรกทุกอย่างมันฉีกหมดเลย แล้วมันก็สะบัด หนูก็กระเด็นออกนอกจักรยานตกลงไปข้างล่าง
ตกเขาเลยเหรอ สูงขนาดไหน?
ริชชี่ : ใช่ค่ะ น่าจะสูงเกือบ 2 ชั้นนิดนึง ต้องปีนเขาขึ้นมา ตอนนั้นกระดูกข้อมือแตกละเอียดหมดเลย แล้วตรงยาวๆ ร้าวนิดหน่อย ก็ใส่เป็นไทเทเนียนแทน เขาบอกต้องผ่าแล้วเอาเศษกระดูกออกให้หมดแล้วทำใหม่
ฟังดูห้าวๆ กลัวตายไหม?
ริชชี่ : ตอนเด็กรู้สึกว่าชีวิตเราพระเจ้าดูแล เราจะไม่เป็นอะไร เราทำอะไรก็ได้ เราแบบแข็งแรงมากๆ เวลาทำอะไรที่คนรอบตัวรู้สึกว่าน่ากล้ว แต่เรารู้สึกว่าไม่เป็นไรถ้าทุกคนบอกว่าตรงนี้ทำได้ เราก็ทำเต็มที่ แต่พอตั้งแต่ผ่านเรื่องนี้มาหนูรู้สึกว่าไม่ได้กลัวว่าทำแล้วจะตายไปเลย แต่ว่าถ้าทำแล้วต้องมากายภาพเป็นปีๆ เป็นภาระคนอื่น รู้สึกว่ามันน่ากลัวมากๆ ก็เลยเริ่มระวังมากขึ้น
ตอนนั้นถ้าเราไม่ได้เป็นนางเอก เราตั้งใจเป็นนักกีฬาทีมชาติเลยไหม?
ริชชี่ : ตอนนั้นตั้งใจซ้อมเอาผลงานพวกเยาวชนกีฬาแห่งชาติ แล้วหนูก็อยากเป็นหมอ
แขนที่มันหัก มีผลต่อการเล่นไหม?
ริชชี่ : ข้างซ้าย อันนี้ข้างขวา ไม่เป็นไร ซึ่งมันก็ไม่มีผลกับการใช้ชีวิต จริงๆ เขาบอกว่ามันอาจจะไม่ 100% จะงอไม่ได้ แต่ช่วงนั้นหนูอยู่คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาอยู่แล้ว ก็มีอาจารย์ช่วยกายภาพเยอะ เราก็เล่นเวท ทำทุกอย่างปกติ
ริชชี่เป็นผู้หญิง 6 สัญชาติ?
ริชชี่ : ฝั่งคุณพ่อเป็นลูกครึ่ง คุณปู่เป็นฟิลิปปินส์ สเปน คุณย่ามีเชื้อสายไทย แต่คุณแม่ของคุณย่าเป็นอังกฤษ สวิท ฝั่งคุณแม่เป็นจีน คุณยายมีไทย ลาหู่
เราภูมิใจสัญชาติไหนที่สุด?
ริชชี่ : หลายคนมองว่าหนูเป็นลูกครึ่งตั้งแต่เด็ก แต่จริงๆ เรามีเชื้อสายลาหู่ เราแค่คิดว่าคนส่วนใหญ่รู้สึกว่ามันต้องอาย หรือมันไม่น่ารัก ทั้งๆ ที่เราเคยไปอยู่บนนั้น คุณแม่จะพาไปตั้งแต่เด็ก หนูว่าบนดอยทุกคนน่ารักมากๆ
หน้าตาก็น่ารัก นิสัยทุกคนธรรมชาติมากๆ เราเคยอยู่ตรงนั้นมา เราแค่คิดว่าทำไมคนบนนั้นเวลาต้องมาอยู่กับคนข้างล่าง เขาถึงไม่มั่นใจ เราก็อยากบอกว่าเราเป็นชาวลาหู่ แล้วมันก็เป็นสิ่งที่ดี มันน่ารัก แล้วเราเป็นนักกีฬา เราเป็นนักแสดง เราเป็นทุกอย่างได้ เราก็เหมือนอยากซับพอร์ตเขา เหมือนทำให้เขารักในสิ่งที่เขาเป็น แล้วก็มั่นใจว่ามันดี