เป็นพระเอกขวัญใจแม่ยกทั่วประเทศเลยก็ว่าได้ สำหรับ "กุ้ง สุธิราช วงศ์เทวัญ" ที่มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show เจ้าตัวได้เปิดใจแบบหมดเปลือก ตั้งแต่เส้นทางการเข้ามาเป็นพระเอกลิเก พร้อมทั้งเล่าถึงคุณพ่อที่ดันตัวเองทุกอย่างในสิ่งที่ตัวเองรักและอยากทำ อยากร้องเพลง แต่ยังไม่มีใครทำให้ พ่อก็ทำให้ เรียกว่าเป็นป๋าดันคนแรก พร้อมเปิดเรื่องหัวใจ ครั้งหนึ่งที่เคยมีความรัก แต่เพราะว่าครอบครัวไม่ต้อนรับ เลยต้องจำใจต้องลาจาก รักมากเจ็บมากเป็นธรรมดา พร้อมกับเผยความในใจสุดซึ้งถึงแม่และน้องสาว
ถาม เส้นทางพระเอกลิเกของ กุ้ง สุธิราช เป็นมาอย่างไร
กุ้ง สุธิราช : เริ่มต้นเป็นตลกก่อน เป็นตัวโจ๊ก ประมาณ 12-13 เริ่มออกเวที แล้วสิ่งที่จะทำให้เรากล้าแสดงออกมากขึ้นในการที่กล้าพูดกล้าร้องโดยที่ไม่ผิดก็คือเป็นตัวโจ๊ก ออกมาร้องเพลงหนึ่งเพลง แล้วก็เกี้ยวนางโจ๊กประมาณนี้ครับ ตอนแรกเราก็ไปเฉพาะเสาร์ - อาทิตย์ เพราะว่าเรียนหนังสืออยู่ แล้วก็ไปกลับ เริ่มเป็นพระเอกเต็มตัว เข้าอายุ 16 ปีครับ เพราะว่าน้าชายของผมที่เขาเป็นพระเอกคู่กับพ่อ เขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ตอนนั้นลิเกเคว้งมาก เพราะว่าตัวสำคัญขาดหายไป ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจหาพระเอกคนอื่นมาเล่น แต่พอหาเข้ามา เคมีมันไม่ตรงกัน พ่อก็คิดขึ้นว่าเกิดเขามามีชื่อเสียง เขาดังมากแล้วเขาอาจจะทิ้งเราไปก็ได้นะ อาจจะไปตั้งคณะใหม่ก็ได้ เราก็จะขาดเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นมีทางเดียว พ่อก็ถามเราว่า กุ้งไหวไหม เพราะเราเล่นเป็นพระเอกตอนเด็ก คนก็เคยเห็นอยู่แล้ว มาเป็นพระเอกให้พ่อ ตอนนั้นเราก็รับปากพ่อเลยว่าครับได้ หลังจากนั้นคือชีวิตเราเปลี่ยนเลย เราไม่ได้ไปแค่เสาร์ - อาทิตย์แล้ว เราต้องไปทุกคืน แล้วก็ต้องไปทุกวัน แล้วก็ต้องแบกภาระในการเป็นพระเอกนำ ไม่ใช่แบบมาเล่นแค่ฉากสองฉากแล้วเข้าไป ไม่ใช่
ถาม ตอนนั้นเราทำด้วยความสุขไหม หรือเพราะคือหน้าที่
กุ้ง สุธิราช : ก็หน้าที่ส่วนหนึ่ง แต่ก็ตั้งใจด้วย เพราะว่ามันเหมือนกับว่าพ่อแม่มองเห็นแล้วว่าเราทำได้ แล้วเราก็มีความมั่นใจระดับหนึ่ง มันเป็นหน้าที่ที่พ่อเราวางไว้ว่ายังไงเราก็ต้องมาแทนเขา มันก็เป็นเป็นจุดที่ทำให้เราตั้งเป้าไว้ว่าเราต้องชนะให้ได้ทำตรงนี้ให้ได้
ถาม มีจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราดังไหม มีคนรู้จักเลย
กุ้ง สุธิราช : เล่นงานแรกนี่ก็ 100 วันของคุณน้า ขึ้นเวทีครั้งแรก เป็นพระเอกคู่กับน้าจิ้งหรีดตอนนั้น เพราะคู่พระคู่นางเหมือนคู่จิ้นเลย คนก็รู้จักเราเลย คนแบบชื่นชอบเลยตอนนั้น
ถาม นอกจากรักในลิเกแล้ว ยังเป็นคนที่ชอบร้องเพลงอีก ซึ่งป๋าดันคนแรกของกุ้ง ไม่ใช่ใครที่ไหน คือคุณพ่อ
กุ้ง สุธิราช : ถ้าเกิดไม่มีใครทำ เดี๋ยวพ่อทำให้เอง ลงทุนเอง โปรโมทเอง พ่อคิดอย่างนั้น ในตอนนั้นสานฝันโดยการที่แบบหน้าเวทีลิเกของเรา ลูกชอบร้องเพลง ก็ทำเป็นคอนเสิร์ตก่อนเลย ก่อนที่ลิเกจะเล่น เมื่อก่อนก็จะแต่งตัวธรรมดา แล้วเราก็เอาพวกนางรำต่างๆ มาเป็นแดนเซอร์ ตอนนั้นก็ยังร้องเพลงคนอื่นอยู่ครับ เพราะว่าเรายังไม่มีเพลงของตัวเอง พ่อ พยายามสุด คือพ่อก็ไปนำเสนอกับเจ้าภาพว่าก่อนที่จะมีลิเก จะมีคอนเสิร์ตก่อนนะ แต่เจ้าภาพเขาก็ปฏิเสธ ไม่เอาๆ จะเอาลิเกอย่างเดียว ก็ไปลดราคาให้เจ้าภาพ เพื่อที่จะให้เราได้ร้องเพลง ตอนนั้นก็เป็นคณะแรกๆ เลยที่มีคอนเสิร์ตก่อนที่จะมีการแสดงลิเก จนวันหนึ่งเราไปเล่นในงานที่เจ้าภาพเขาจ้างเราไปเล่นในบ้านของเจ้าของบ้านอีกทีหนึ่ง เหมือนเขาอาจจะเป็นคนทรงหรืออะไรสักอย่างที่อยู่ในบ้าน คนดูก็เข้ามาดูกันเต็มเลย แน่นไปจนถึงรั้วบ้าน เราก็ออกมาร้องเพลง พอเพลงสุดท้ายกำลังร้องอยู่บนเวทีเลยครับ เจ้าของบ้านเขาเดินขึ้นมาบนเวที เขาก็อายุเยอะหน่อย แล้วก็หยิบไมค์จากมือผมที่อยู่บนเวทีแล้วก็พูดใส่ไมค์ว่าให้มาเล่นลิเกไม่ใช่ร้องเพลง มาจากไหน กลับไปให้หมดเลย ขนของไปให้หมดเลยไป ตอนนั้นเราก็รู้สึกตกใจ คนดูก็คือเต็มบ้านเลยตอนนั้น เราก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากบอกเขาว่าขอโทษครับ ซึ่งเขาก็ไม่ได้เมานะครับ แต่เพราะว่าเหมือนเขาเป็นคนยุคเก่าๆ หน่อย เขาตั้งใจที่จะดูลิเก เราก็ขอโทษครับ แล้วเราก็เข้ามาหลังเวที ณ ตอนนั้นคือคนดูก็ฮือว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อแม่ญาติพี่น้องหลายคนบอกว่าทำใจไม่ได้ที่เขามาทำแบบนี้ ไม่เล่น ไม่เอาค่าตัว เก็บของกลับบ้านกัน แต่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเป็นนักหนังสือพิมพ์อยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เขาก็บอกว่าพ่อกุ้งต้องเล่นนะ เจ้าภาพเขาหางานให้เรามาแล้ว ยังไงเราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด จำไว้นะวันนี้ กุ้ง มันเจอแบบนี้ ต่อไปมันจะดังมาก (พูดเสียงสั่น) ผมก็โอเค เราก็ตัดสินใจเล่นต่อ พอเล่นไปเราพยายามลบความรู้สึกที่เราเจอเมื่อตอนหัวค่ำ ออกมาเล่นลิเก ก็ออกมารำยิ้มปกติเลยนะ พอเริ่มร้องคำแรก น้ำตาไหลเลยครับ เราเหมือนกั้นความรู้สึกไว้ พอเราออกไป เหมือนเราจะให้ความสุขกับคนดูที่มาดูเรา แต่พยายามเก็บอาการ แล้วพอเอ่ยคำแรกออกมาน้ำตามันไหลแล้ว คนดูเขาก็ร้องไห้ เพราะเขาก็สงสารเรา เหมือนกับว่าบางคนทนดูไม่ได้ กลับบ้านเลย
ถาม และเมื่อเป็นพระเอกลิเกก็ต้องมีแม่ยก จริงไหมที่มีแม่ยกมาติดหนักมาก
กุ้ง สุธิราช : เมื่อไม่นานมานี้เองครับ ประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมาครับ มีแฟนคลับกลุ่มหนึ่งที่เขามาแล้วเขาก็มาเล่าให้เราฟังว่ามีคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มของเขา จะไปเลิกกับสามีแล้วจะมาอยู่กับเรา เหมือนเขาเพ้อเลย เราก็ไม่เคยให้ความหวัง ซึ่งเขาคิดว่าเรามีใจ ซึ่งปกติผมจะคุยเป็นปกติ เป็นแบบด้วยความสนิท เพราะว่าเราเป็นคนเฟรนด์ลีกับทุกคน ไม่เน้นคุยแบบหวาน ไม่อย่างนั้น แต่เราจะเน้นคุยสนุกสนาน แต่เขากลับไปคิดแล้วเหมือนจะมีปัญหากับแฟนเขา แม่ก็เลยเป็นกันชน โทรคุยเลยครับ ก็บอกเขาว่าอย่าไปคิดกับน้องอย่างนั้นเลย น้องมันก็เป็นอย่างนี้กับทุกคน สนิทกับทุกคน เพราะฉะนั้นอย่างคิดอย่างนี้ เรามีครอบครัวอยู่แล้วก็ดูแลครอบครัวไป ถ้าเกิดทำอย่างนี้เดี๋ยวน้องมันจะเดือดร้อน ถ้าจะมารักชอบมันอย่างนั้น อย่ามารักเลย แม่เขาก็พูดไปตรงๆ ก็เคลียร์ครับ เขาก็หายไปเลย ไม่กล้ามา
ถาม แต่กุ้งก็เป็นคนที่ดูแลแฟนคลับอย่างดีมาก ขนาดว่าเมื่อเล่นลิเกเสร็จ ก็ยังส่งทุกคนกลับก่อน
กุ้ง สุธิราช : เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ที่เราเริ่มเป็นพระเอกเลยครับ พ่อจะคอยสอนเราว่าคนดูก็คือนายเรา เราต้องทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ ให้เขาประทับใจ เล่นเสร็จประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ก็ต้องลงมาลา ซึ่งแฟนๆ เขาจะรู้กันอยู่แล้วแฟนๆ ในกลุ่ม บางทีเป็นร้อยคน เราก็จะลงมาถ่ายรูปบ้าง กอดหอมบ้างเป็นปกติ จนส่งคนสุดท้ายเสร็จ เราก็จะเป็นแบบนี้ทุกงานครับ มันเป็นความผูกพันไปแล้วครับ เพราะเราไม่ได้มองเขาว่าเขาเป็นแฟนคลับ เรามองว่าเขาเหมือนญาติเรา เหมือนพี่น้องเรา ซึ่งแต่ละคนเขาดูเรามาคือยาวนานไม่ต่ำกว่า 20 ปี แล้วไม่ได้เลือกว่าคนนี้รวยกว่า คนนี้ไม่ค่อยมี เราคุยเหมือนกันหมด เท่าเทียมกันหมด ถามว่าเคยแอบปิ๊งไหม ถ้าแฟนๆ ผม จะมีลิมิตของผมในการที่เรารู้อยู่แล้วว่าการที่แต่ละคนเข้ามาด้วยความคิดแบบไหน คนนี้เข้ามาชู้สาวนะ คนนี้อาจจะเป็นพี่น้อง อย่าคนที่เข้ามาแบบชู้สาว เราก็จะกันตัวเรานิดนึง
ถาม ในวันที่มีชื่อเสียงของ กุ้ง สุธิราช
กุ้ง สุธิราช : ช่วงที่เราโตขึ้นมาเริ่มเป็นนักร้องแล้ว เริ่มมีชื่อเสียง ดังมาแล้วสักพักแล้ว ด้วยมีผู้หญิงเข้ามาหาอะไรอย่างนี้ ก็สเปคเราเลย เปรี้ยว เซ็กซี่ แต่ว่าค่อนข้างจะดูแบบแรงในสายตาผู้ใหญ่ แม่ของเราเขาจะหวงเรามาก เพราะว่าเราเป็นผู้ชายคนโต แล้วเราก็เป็นแม่ทัพในการออกแสดง กุ้งล้ม กุ้งไม่ไหวอย่างนี้ ทีมงานก็ไปหมดเหมือนกัน แม่เขาก็พยายามห้ามๆเพราะไม่อยากให้เราเสียงานเสียการด้วยเพราะเขาก็กลัวแหละ กลัวว่าลูกเราจะเสียใจไหม ไม่อยากให้คบ แม่เขาก็พูดกับเราตรงๆ ครับ คือในสายตาผู้ใหญ่ เขาก็มองว่าเราน่าจะคู่ควรกับคนอีกแบบหนึ่ง แต่ตอนนั้นเราก็ยื้อเขานะครับ ก็ยอมรับนะครับว่ารัก เขาก็พยายามจะพิสูจน์ตัวเองเหมือนกัน เราก็พิสูจน์ตัวเองเหมือนกันว่าเรามั่นคง ว่ารอได้ไม่เป็นไร ถึงเราไม่ได้เจอกัน แต่เขาก็บอกกับเราตรงๆ ว่าเขารอไม่ไหว เพราะว่ามีคนที่จะมาขอคบกับเขาแล้ว เราก็ยังไม่อยากให้เขาไป ก็ให้เขาลองศึกษาผู้ชายคนที่ว่าดู เขาก็โทรมาบอกเราว่าพี่เขาจะรับไปเที่ยวนะ ไปเที่ยวเทค เที่ยวผับ ซึ่งชีวิตของเราไม่เคยไปอยู่ตรงนั้นเลย เราก็ได้แต่โทรหาว่ากลับหรือยัง ระวังตัวนะ แต่พอเราโทรไปแล้วผู้ชายรับ แล้วบอกเราโทรมาหาแฟนเขาทำไม เราก็รู้สึกว่าเขาคงคบกันแล้ว คงเลือกแล้ว เราก็เสียใจแต่ให้เขาไปดี ก็ยอมรับว่าเฮิร์ตนะครับ เพราะว่าผมมั่นใจว่าผมเป็นคนมั่นคงในความรักนะครับ อาจจะชอบคนง่ายนะครับ แต่รักคนยาก คืออย่างที่เราคิดว่าเราจะพิสูจน์ตัวเอง ก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ ให้ความรู้สึกของเรา ซึ่งเขาจะไปเราก็เปลี่ยนความคิดใหม่ จากที่กำลังจมอยู่ ที่ตั้งใจที่จะพิสูจน์ตัวเองกับพ่อกับแม่หรืออะไรก็แล้วแต่ เขาไปแล้ว เราก็เปิดโลกคือทำใจใหม่ กลับมาให้เป็นคนเดิม
ถาม มันยากเย็นขนาดไหนกับการต่อสู้กับความอ่อนแอของตัวเอง
กุ้ง สุธิราช : มันทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเศร้า เรื่องอะไรก็แล้วแต่ มันต้องเก็บไว้ในใจอย่างเดียว แม่อาจจะเคยได้ยิน หรือ คนในเวทีเขาแบบสงสารเรา อะไรอย่างนี้ เพราะก่อนเล่นลิเก เราก็จะซ้อมเพลงเศร้าๆ อย่างเพลงแทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ เราร้องด้วยความรู้สึก
ถาม คนนี้คือคนที่อยู่ในวงการใช่ไหม
กุ้ง สุธิราช : เหมือนเมื่อก่อนเคยอยู่ในวงการ เหมือนกันก็เลิกลากันไปตั้งแต่ตอนนั้น
ถาม ตั้งแต่คุณพ่อจากไป นอกจากเป็นหัวเรือใหญ่ของครอบครัวแล้ว ยังเป็นหัวเรือใหญ่ของคณะด้วย
กุ้ง สุธิราช : ตอนนี้เขาไม่มีคู่คิดแล้ว อย่างคุณพ่อก็ต้องพึ่งลูก แล้วโหยหาลูกมากขึ้น แบบว่าอยากให้ลูกมาอยู่ใกล้ๆ ส่วนกับน้องสาวคือเราสนิทกันมา เขาเหมือนคู่ชีวิตคู่ใจของเราเลย ตั้งแต่ผมโตมา ผมก็จะเลี้ยงน้องมา พ่อแม่จะสอนให้เรารักกันดูแลกัน ไม่เคยทะเลาะ ก็จะเป็นพี่ชายกับน้องสาวที่โตมาด้วยกัน รู้ใจกันจนถึงที่ว่าเรามองตาก็รู้ใจกันว่าพี่คิดอะไร น้องคิดอะไร สิ่งที่ผมอยากบอกแม่กับน้องสาวคือ (พูดด้วยเสียงสั่น ร้องไห้) เราเหลือกันแค่นี้แล้วนะครับ อยากเป็นตัวแทนของพ่อประคับประคองทีมงานครอบครัวให้ดีที่สุด มันอาจะไม่ได้ดี 100 เปอร์เซ็นต์เหมือนพ่อ เพราะว่าพ่อเขาเพอร์เฟกต์ เขาคือ ผู้ชายที่เป็นต้นแบบก็อยากจะทำความฝันที่พ่อเคยสั่งสอนแล้วก็ที่แม่คาดหวัง แต่บางครั้งมันอาจจะไม่ได้อย่างที่หวัง บางทีมันอาจจะมีนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่ก็สามารถกลับมาเป็นเราได้เสมอยังคิดอยู่เสมอว่าครอบครัวก็คือสิ่งที่สำคัญที่สุด จะดูแลแม่และน้องให้ดีที่สุดจะเดินหน้าไปด้วยกัน ทำงานด้วยกัน เคียงบ่าเคียงไหล่แบบนี้ไปตลอดครับ
สามารถชมคลิปย้อนหลังได้ทางยูทูบ :
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "จิ้งหรีดขาว" เม้าท์เผาขน! "กุ้ง สุธิราช" เป็นพระเอกลิเกเจ้าชู้เงียบ
- "กุ้ง สุธิราช" พิษโควิด-19 ไร้งานยาว 4 เดือน
- "กุ้ง สุธิราช" ไม่เหลิง เคารพแฟนลิเก พร้อมส่งกลับบ้านทุกคน