จากกรณี ด.ช.จิระดนัย ทันเต หรือ น้องเฟรม อายุ 12 ปี เสียชีวิตจากการถูกไฟดูด บริเวณริมรั้วลวดหนามที่มีกระแสไฟฟ้า ภายในเก็บกองไม้พะยูง ในอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย จ.อุบลราชธานี ซึ่งญาติติดใจสาเหตุการเสียชีวิต เพราะพบร่องรอยคล้ายถูกทำร้ายร่างกาย โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่เด็กและครอบครัวถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้แจ้งความดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ และข้อหาบุกรุก (อ่าน :
เด็ก 12 ตายเซ่นรั้วไฟฟ้าล้อมของกลางไม้พะยูง แม่อึ้ง ป่าไม้จับลักทรัพย์)
วันที่ 23 พ.ย. 61
นางอุลัย ทันวิมา แม่ของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ตัวเองไม่เห็นสภาพบาดแผลลูก เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ส่งลูกไปยังโรงพยาบาล ซึ่งตนก็ไปรับศพ แต่ไม่ได้มองลูก เพราะทำใจไม่ได้ แต่ญาติ ๆ เห็นว่ามีรอยช้ำบริเวณใบหน้า จนช่วงที่รับออกมาจากโรงพยาบาล ก็ไม่ได้ชันสูตรอย่างละเอียด เพราะตนไม่มีเงิน และตอนนั้นตนก็คิดอะไรไม่ออก ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป
เมื่อจัดงานศพลูกช่วงก่อนเผา วันที่ 26 ต.ค. มีการเปิดโลงศพ ก็พบว่ามีรอยกะโหลกยุบทั้ง 2 ข้าง และตาข้างซ้ายมีรอยช้ำเลือด จึงสงสัยว่าลูกอาจถูกทำร้ายร่างกาย โดยญาติก็ไปสอบถามเจ้าหน้าที่ ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้ทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ซึ่งตัวเองก็เกิดความสงสัย จึงถามทางแพทย์ว่าหากเก็บศพไว้หลายวันจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่กะโหลกจะยุบ โดยไม่เกี่ยวกับการถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งแพทย์ก็ให้คำตอบไม่ได้ เพราะไม่มีการชันสูตรอย่างละเอียดตั้งแต่แรก
โดยจุดที่เกิดเหตุ ลูกชายตนก็เข้าไปประจำ ซึ่งเป็นการไปเที่ยวลำห้วย หลังด่าน 1 บางครั้งก็ไปทางรีสอร์ตด้านหลัง บางครั้งก็ไปทางด่าน 1 ซึ่งต้องลอดลวดผ่านสวนส้มโอของชาวบ้านที่อยู่ติดกัน โดยก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยถูกไฟดูด ซึ่งป้ายเตือนก็เพิ่งมาติด และคนในหมู่บ้านก็ไม่มีใครทราบเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ลูกชายของตนก็เป็นศพแรกที่ถูกไฟดูด ส่วนที่มีข้อมูลว่า ลูกตนเป็นคนชี้เป้าให้คนมาขโมยไม้นั้น ตนคิดว่าไม่ใช่ เพราะเด็กก็เล่นตามประสา
ทั้งนี้ ตนสอบถาม ด.ช.เหลื่อม และด.ช.ชล เพื่อนที่ไปด้วยกันกับลูกชายในวันเกิดเหตุ บอกว่า ไม่กล้ามาบอกว่าน้องเฟรมถูกไฟดูด เพราะกลัว ซึ่งทางอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย ก็แจ้งความกลับลูกชายตน ฐานบุกรุก พยายามลักทรัพย์ และแจ้งความตนฐานปล่อยปละละเลย โดยอ้างว่าลูกตนเข้าไปลักขโมย 2-3 รอบแล้ว ซึ่งตนก็สงสัยว่าหากลูกตนทำจริง เหตุใดจึงไม่แจ้งตนให้ว่ากล่าวตักเตือนลูกชาย เพราะที่ผ่านมาตนไม่เคยทราบเรื่องมาก่อน จึงไม่เชื่อว่าลูกจะทำแบบนั้นจริง
ด.ช.เหลื่อม อายุ 13 ปี เพื่อนน้องเฟรม ซึ่งอยู่ด้วยกันในวันเกิดเหตุ เล่าว่า ตนกับเฟรม และด.ช.ชล ได้ไปดักปลาด้วยกันที่ลำธารหลังด่านเก็บไม้พะยูง โดยเมื่อดักปลาเสร็จ ก็ได้ขึ้นมาจากลำธาร และเดินผ่านจุดเก็บไม้พะยูง น้องเฟรมถูกไฟช็อตจนล้มลงไป ตนก็ถูกเช่นเดียวกัน แต่หลุดออกมาได้ จึงรีบวิ่งออกมา โดยขณะนั้นก็เห็นเจ้าหน้าที่ซึ่งเฝ้ายาม สาดไฟเข้ามา แต่ไม่มั่นใจว่าเห็นพวกตนหรือไม่ เมื่อกลับมาบ้านตนก็ไม่ได้บอกใคร และไม่ได้กลับไปดูเพื่อนเพราะกลัว โดยตนไม่เห็นเพื่อนถูกทำร้ายแต่อย่างใด ก่อนจะถูกไฟช็อต เพื่อนก็ยังปกติ ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บตามร่างกายแต่อย่างใด
ซึ่งจุดที่ลงไปเล่นน้ำ ก็มักจะใช้เส้นทางที่เก็บไม้พะยูงประจำ แต่ไม่เคยถูกไฟช็อต และไม่ทราบว่ามีไฟฟ้าที่จุดเกิดเหตุ ส่วนเรื่องที่พวกตนไปชี้เป้าให้กลุ่มคนลักลอบตัดไม้พะยูง ก็ไม่เป็นความจริง และน้องเฟรมก็ไม่เคยเข้าไปขโมยไม้ด้วย
ด้าน
นางเขื่อง สุนทรนัง ยายของ ด.ช.เหลี่ยม กล่าวว่า ปกติหลานของตน และเด็ก ๆ ในหมู่บ้านก็มักจะไปเล่นน้ำที่บริเวณจุดเกิดเหตุ ซึ่งวันเกิดเหตุหลานกลับมาบ้านดึก ตนหลับไปแล้วจึงไม่ได้พูดคุยกัน แต่ทราบว่าเจ้าตัวไปดักปลา จนช่วงเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา มีประกาศว่าพบเด็กเสียชีวิตในด่านป่าไม้ ซึ่งก็มีคนโทรมาถามตนด้วยความเป็นห่วงว่าจะเป็น ด.ช.เหลื่อม หรือไม่ แต่มาทราบภายหลังว่าเป็นน้องเฟรมก็ตกใจ โดยได้ถามหลานชายว่าไปที่เกิดเหตุกับน้องเฟรมหรือไม่ ตอนแรกเจ้าตัวก็ปฏิเสธเพราะความกลัว จนหลังจากนั้นประมาณ 2-3 วัน จึงยอมรับว่าไปด้วยกัน ซึ่งปกติหลานชายตนก็ออกไปเที่ยวเล่นช่วงกลางคืน ทั้งไปหาปูหาปลาเป็นประจำ โดยไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ไม่ดี ตนจึงวางใจ
ทั้งนี้ ที่มีข่าวว่าหลานตนไปขโมยไม้พะยูงนั้น ตนก็ไม่เชื่อ เพราะหลานยังตัวเล็ก ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ และหลานก็ยังมาขอเงินตนใช้ตามปกติ ส่วนที่จะไปชี้เป้านั้น ก็คิดว่าไม่ใช่ เพราะในพื้นที่ก็มีเจ้าหน้าที่คอยดูแล จึงไม่น่าจะทำได้
นอกจากนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า ส่วนสูงและน้ำหนักตัวของเด็กชายทั้ง 3 คน นั้นมีกำลังพอที่จะยกท่อนไม้พะยูง ที่มีความยาวและน้ำหนักค่อนข้างมากได้หรือไม่