จากเหตุการณ์สะเทือนใจที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2564 เด็กชายวัย 5 ขวบ "น้องข้าวปั้น" ที่สูญเสียคุณพ่อวัย 33 ปี ทราบชื่อ นายเนียน อุ่นจิต ต่อหน้าต่อตา ขณะที่ทั้งคู่กำลังขี่จักรยานยนต์ไปรับไอศกรีมมาขาย แต่เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ ถนนเยื้องศูนย์ประชุมเดอะวาย ม.1 ต.หนองขาว อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี อีกแค่ 600 เมตรก็จะถึงร้านไอศกรีม แต่กลับเกิดอุบัติเหตุรถเสียหลัก รถพุ่งลงไปยังพงหญ้าข้างทาง และร่างของนายเนียนกระเด็นตกลงไปในแอ่งน้ำที่อยู่ติดกัน 10 เมตร คอหักเสียชีวิตคาที่ ลูกน้อยที่กระเด็นจากรถมาอยู่ตรงริมถนน มีแผลถลอกบริเวณร่างกายนั่งดูศพพ่อ กอดตุ๊กตาสีเหลืองและร้องไห้อย่างน่าสงสาร
ล่าสุด วันที่ 4 ธันวาคม 2564 หลังเกิดเหตุทางน้องสาวของผู้เสียชีวิต ป้าและน้าของน้องข้าวปั้นได้ติดต่อเข้ามาทางกู้ภัยมูลนิธิขุนรัตนาวุธ เพื่อแสดงตัวเป็นญาติของน้อง และได้เดินทางเข้ามาที่ รพ.สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 จ.กาญจนบุรี เพื่อดูแลระหว่างที่น้องต้องเข้ารับการรักษาตัวตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปยังโรงพยาบาล พยามประสานกับ นางฐิติมา จันทร์หอม อายุ 29 ปี หลานสะใภ้ของผู้ตาย น้าของ น้องข้าวปั้น ที่อยู่ดูแลน้องในโรงพยาบาลตลอดทั้งคืน จึงทราบว่าศพของนายเนียนได้ถูกเคลื่อนย้ายไปประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดป่าบุญธรรม บ้านใหม่ห้วยกนทา ต.คูเมือง อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ โดยรถกู้ภัยของมูลนิธิขุนรัตนาวุธ จ.กาญจนบุรี
ส่วนน้องข้าวปั้น เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. มีการตรวจร่างกาย พร้อมกับทำการถอดสายน้ำเกลือเพื่อเตรียมนำตัวออกจากโรงพยาบาล ขณะที่มีการถอดสายน้ำเกลือนั้น ด้วยความเป็นเด็ก น้องข้าวปั้นก็ร้องไห้ บอกว่า "กลัว กลัว โอ้ย โอ้ย" ญาติก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้น้องอดทน บอกว่าถอดเสร็จจะพาไปหาพ่อที่ ต.ชัยภูมิ
เวลา 13.00 น. ญาติก็พาน้องข้าวปั้นออกมาจากโรงพยาบาล เดินกอดตุ๊กตาสีเหลืองตัวโปรดตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนมานั่งรอรถและพูดคุยกับทีมข่าว จะเห็นได้ว่าวันนี้สีหน้าท่าทางน้องดูสดใสขึ้น ยิ้มแย้ม หัวเราะได้ กินขนมและสนุกสนานกับเพื่อนที่เดินทางมารอรับกลับบ้านได้ มีผ้าปิดแผลถลอกไว้ รวมถึงใบหน้าเองก็มีรอยขีดข่วนจากอุบัติเหตุเล็กน้อย
นางฐิติมา น้าของน้องข้าวปั้น บอกว่า เมื่อคืนน้องมีช่วงที่ร้องไห้คิดถึงพ่อบ้าง แต่พวกตนก็พยายามปลอบใจ จนกระทั่งน้องเหนื่อยและหลับจนถึงเช้า ตนก็เลยแอบถ่ายคลิปความน่ารักของน้องไว้ และส่งให้ทีมข่าว โดยหลังจากผู้ตายเลิกรากับภรรยาได้ประมาณ 3 ปี เขาก็ย้ายจากบ้านที่ใน จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นบ้านของอดีตภรรยามาเช่าบ้านอยู่กับลูกใน จ.กาญจนบุรี และประกอบอาชีพขายไอศกรีมมาตั้งแต่นั้น จากนั้นเมื่อ 20 วันก่อนก็ย้ายออกจากบ้านเช่า มาอยู่บ้านเช่าละแวกเดียวกับตน
เท่าที่ตนเห็นพ่อลูกคู่นี้มีความสุขกันดี ผู้ตายเลี้ยงดูลูกดีมาก ลูกอยากได้อะไรก็พยายามหาให้ตลอด ค่อนข้างตามใจเลยก็ว่าได้ ส่วนตัวน้องข้าวปั้นเองก็น่ารัก ฉลาด เก่ง เรียนรู้ไว มีซนบ้างตามประสาเด็กทั่วไป และที่สำคัญช่วง 4-5 วันก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายยังมาปรึกษากับตนว่าจะส่งลูกเข้าเรียนอนุบาล 1 แต่ยังเลือกไม่ได้ว่าเป็นที่ไหน และบอกกับตนว่าอยากส่งลูกเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มาเกิดเหตุสลดแบบนี้เสียก่อน
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดเหตุนั้น ช่วงประมาณ 19.00 น. ของวันที่ 2 ธันวาคม ตนเห็นว่าผู้ตายกับลูกออกไปบ้านญาติอีกคน แล้วกลับมาตอนประมาณ 23.00 น. ผู้ตายมีอาการคล้ายดื่มแอลกอฮอล์มาประมาณหนึ่ง ส่วนน้องข้าวปั้นก็ถือตุ๊กตาสีเหลืองตัวนั้นกลับมาด้วย ตนก็ถามว่าไปไหนกันมา ผู้ตายบอกว่าไปเที่ยวงานวัดมา และซื้อตุ๊กตาตัวนี้ให้ลูก จากนั้นทั้งคู่ก็เข้านอนโดยที่เห็นว่าน้องข้าวปั้นกอดตุ๊กตาตัวนี้ทั้งคืน
จนกระทั่งเวลาประมาณตี 4 ของวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา ผู้ตายกับลูกขับรถออกจากบ้านเช่า ตนหลับอยู่ก็ได้ยินเสียงสตาร์ตรถ แต่ไม่ได้ออกมาถามว่าไปไหน มารู้อีกทีคือเกิดเหตุขึ้นแล้ว ยอมรับว่าหลังทราบข่าวรู้สึกจุกไปหมด ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่มีแม้ลางสังหรณ์หรือฝันใด ๆ เพราะตลอด 20 วันที่ผ่านมาอยู่กินด้วยกันทุกวัน
ถ้าถามถึงต้นตอของการเกิดเหตุ ตนก็บอกว่าน่าจะเป็นเพราะหลายๆอย่าง อาจจะเพราะมันเช้าหรืออาจมีอาการเมาร่วมด้วย แต่ไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชน เพราะในที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยของคู่กรณี จึงไม่ได้ติดใจ หลังจากนี้น้องข้าวปั้นก็จะไปอยู่กับป้า ๆ น้า ๆ ที่ จ.ชัยภูมิ ส่วนกับผู้ตายตนก็ขอให้ไปสู่ภพภูมิที่ดี ไม่ต้องเป็นห่วงลูก เพราะทุกคนพร้อมช่วยกันดูแล
ในขณะเดียวกันก็มีชาวบ้านใน จ.กาญจนบุรี ที่เห็นข่าวจากอมรินทร์ ทีวี จึงเข้ามาเยี่ยม โดยนายธนชาติ ชิตสุวรรณ อายุ 62 ปี บอกว่า ได้คุยกับหลังเห็นข่าวก็พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ยิ่งทราบว่าพ่อแม่น้องเลิกกันด้วย ก็ยิ่งสงสาร ฝังอยู่ในใจทั้งคืนจนนอนไม่หลับ ตนและเพื่อน ๆ รวม 3 คนจึงลงความเห็นว่าจะรวมเงินมาให้น้องเป็นทุนการศึกษา มีตัวเองเป็นตัวแทนเดินทางมาวันนี้ เงินที่มอบให้คือ 2,000 บาท และจากที่ได้สัมผัสพูดคุยกับน้องก็รู้เลยว่าเด็กคนนี้ฉลาด ต้องเอาตัวรอดได้แน่นอน เพราะพูดจาฉะฉาน ไม่กลัวคน ก็อยากขอเป็นกำลังใจน้องและครอบครัวสู้ต่อไป
ต่อมาในเวลาประมาณ 14.30 น. ญาติได้พาน้องข้าวปั้นเดินทางมายังจุดเกิดเหตุอีกครั้ง เพื่อทำพิธีเรียกวิญญาณผู้ตาย และผูกข้อมือเรียกขวัญน้อง เนื่องจากตามความเชื่อหลังเกิดเหตุน้องคงอกสั่นขวัญหายแถวนี้ ก่อนที่จะเดินทางไปยัง จ.ชัยภูมิ
โดยขณะทำพิธีนั้น น้องไม่ได้มีความกังวลใด ๆ หน้าตาสดใส พร้อมกับกอดตุ๊กตาตัวโปรดที่พ่อซื้อให้ตลอดเวลา จากนั้นญาติก็พากันตะโกนเรียกชื่อผู้ตายเป็นภาษาอีสานให้กลับบ้าน ส่วนน้องข้าวปั้นด้วยความไร้เดียงสาก็พยายามถามทุกคนว่า "ทำไมพ่อต้องตกลงไปตรงนี้ด้วย"