ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า "ทุกๆ ธุรกิจมีขึ้นมีลง ตามไลฟ์ ไซเคิล (Life Cycle) เมื่อถึงจุดสูงสุด เส้นกราฟก็หันหัวทิ่มลงไปตามกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ไม่สามารถต้านทานได้ ธุรกิจอาบอบนวดก็หนีไม่พ้นเช่นกัน ในฐานะที่ผมอยู่ในยุครุ่งเรืองมาตลอด เป็นเจ้าพ่ออาบอบนวด พอสรุปยุคตกตำ่หลังโควิดได้ดังนี้
1. เชียร์แขก มาม่าซัง จะหายไปในยุคสมัยของเด็กรุ่นใหม่ ที่ธุรกิจเพศพาณิชย์ไม่ต้องการ “คนกลาง” อีกต่อไป เฉกเช่นธุรกิจออนไลน์ ผู้ซื้อพบผู้ขายโดยตรง เดี๋ยวนี้บรรดาเด็กขายบริการ เช่าห้องตามอพาร์ทเมนต์ไว้รอรับแขก ติดต่อผ่านไลน์ ผ่านแชท ผ่านเว็บไซต์
2. ไม่มีใครอยากเสียค่าหัวคิว โน่นนี่นั่นของบรรดาเชียร์แขก มาม่าซัง ที่ทำตัวเป็น “นิ้วทองคำ” ชี้ใครก็ได้งาน เด็กใครเด็กมัน ถึงวันเกิดพี่ๆ ก็ต้องจัดเงินใส่ซอง หรือทองต้องหนัก 1 บาท ไม่งั้นเน่าแน่ หรือไม่ก็ต้องให้ค่าเรียนลูก ต่อเติมหลังบ้าน สารพัดมาบรรยายให้ฟังทุกวี่ทุกวัน ที่สำคัญ มันหมดยุคนั่งตู้ มือถือและไลน์ในยุคนี้มันง่าย สาวไทยจึงอยากเป็น “ไซด์ไลน์” กันหมด หากมีแขกก็โทรมาเรียก ไลน์มาบอก หากไม่มีแขกใครจะไปนั่งรอให้เสียเวลา เสียความรู้สึก
3. เด็กสามารถเลือกแขกได้ ไม่ไปก็ได้ หรือทุ่มสุดตัวหากแขกโปรไฟล์ดี ดูได้ที่ “อินสตาแกรม” พ่อรวย ขับรถซุปเปอร์คาร์ เที่ยวเมืองนอก ใส่ของแบรนด์เนม อย่างนี้ น้องต้องทำตัวหรูถึงจะดูเหมาะสม เด็กก็ต้อง “อัพเกรด” เหมือนกัน แต่ก่อนตอนทำอาบอบนวด เรียกกัน “อีเปิ้ล” แต่พอได้เป็นไซด์ไลน์ ใช้ชื่อจัดตั้งกลายเป็น “แอ๊ปเปิ้ล”
อาบอบนวด จึงกลายเป็นธุรกิจโบราณ ทั้งเด็ก ทั้งแขก เริ่มหายากขึ้นทุกวัน เพราะมีเทคโนโลยีการสื่อสาร ไม่ต้องเข้าไปสถานที่อโคจรให้ใครเขานินทาว่า “บ้ากาม” ยิ่งที ยิ่งปิดไปคนละที่สองที่
เมื่อเด็กกลายเป็น “ผู้เลือก” แทนที่แต่ก่อนเคยถูก “แขกเลือก” โลกของอาบอบนวดจึงกลับตาลปัตรไปตามกระแสเชี่ยวกรากของยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ค แถมสถานบริการอาบอบนวดต้องจ่าย “ค่าเก๋าเจี๊ยะ” ตั้งแต่ล่างยันบน ห้ามขาดตกบกพร่อง หากมีนโยบายมาก็ต้องจับอีก และข้อหาก็หนักไม่ใช่ล้อเล่น “ค้ามนุษย์” แล้วตามด้วย “ฟอกเงิน” เป็นสูตรตายตัว
วันนี้จึงได้เห็นอาบอบนวดปิดกันเป็นทิวแถว อีกไม่นาน เด็กเจน Z คงได้แต่ย้อนอ่านเรื่องเล่าของผมว่า “อ้อ อาบอบนวดเป็นแบบนี้หรือ?” เป็นแค่ภาพประวัติศาสตร์ เหมือนคนรุ่นเก่าที่ได้เห็น “โคมแดง โคมเขียว” แขวนไว้หน้าซ่อง เมื่อเกือบ 60 ปีก่อน แถวโรงน้ำชาย่านเยาวราช แล้วพัฒนามาถึงยุค “บางขุนพรหม” จนมาถึงยุค “สุทธิสาร” อนิจจัง สังขารไม่เที่ยง ยุบหนอ พองหนอ
นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ยังได้แสดงความคิดเห็นถึงการประกาศขาย อาบอบนวด ย่านปิ่นเกล้า ในราคา 470 ล้านบาทว่า มูลค่าจริงๆ อยู่ที่ที่ดิน เพราะที่ดินที่ติดถนนอรุณอมรินทร์ทำเลทอง 3 ไร่ 1,200 ตารางวา ตีกลมๆ ไปที่ตารางวาละสี่แสนบาท แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ยังเปิดไม่ได้ อนาคตจึงไม่มั่นคง และไม่น่ามีกำไร แถมธนาคารก็คงไม่มีที่ไหนเปิดให้กู้เงิน หากจะทำก็ต้องเป็นการฟอกเงินจากธุรกิจสีเทา หากนำไปขายบริษัทอสังหาริมทรัพย์ สร้างคอนโด ยังอาจมีคนสนใจ แต่อาบอบนวดมันจบไปแล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- โซเชียลแห่แชร์ ประกาศขายอาบอบนวด ย่านปิ่นเกล้า 470 ล้าน รายได้เข้าบัญชีทุกวัน
- ปิดตำนานอาบอบนวดดังขายเท 470 ล้าน การันตีรายได้ 3 ล้านต่อเดือน
Advertisement