จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกอาวุธปืนยิงได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 ราย เกิดภายในรั้วศาลจังหวัดราชบุรี บริเวณหน้าสำนักงานบังคับคดีจังหวัดราชบุรี พบผู้บาดเจ็บทราบชื่อ นายประกาศิต เสริมสมัคร อายุ 59 ปี ทนายความของโจทก์ ถูกยิงเข้าที่ชายโครงด้านขวา 1 นัด อาการสาหัส ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลราชบุรี
ส่วนผู้ก่อเหตุคือ นายสุกิจ เลิศปภากุลทร อายุ 83 ปี ซึ่งมี ร.ต.ต.อิศเรศ หอมหวาน ตำรวจ สภ.วัดเพลง จ.ราชบุรี ได้รับบาดเจ็บที่มือเล็กน้อย จากการเข้าไปช่วยระงับเหตุ
นอกจากนี้ พบอาวุธปืนขนาด 11 มม. จำนวน 1 กระบอก ปลอกกระสุนขนาดเดียวกัน 1 กระบอก เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน ส่วนผู้ที่ก่อเหตุถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้ขณะก่อเหตุ
วันที่ 17 ธ.ค. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุ บริเวณหน้าสำนักงานบังคับคดีจังหวัดราชบุรี ภายในศาลจังหวัดราชบุรี ซึ่งศาลไม่อนุญาตให้บันทึกภาพ
ตำรวจ สภ.เมืองราชบุรี ควบคุมตัว นายสุกิจ เลิศประภากุลทร อายุ 83 ปี ผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนขนาด 11 มม. ยิงนายประกาศิต เสริมสมัคร อายุ 59 ปี ทนายความฝ่ายโจทก์ ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลังกระสุนถูกยิงเข้าบริเวณชายโครงด้านขวา 1 นัดทะลุเข้าบริเวณด้านหลังได้รับบาดเจ็บสาหัส
โดยในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพาตัวนายสุกิจ ผู้ก่อเหตุ ไปสอบปากคำ นายสุกิจ เลิศประภากุลทร ผู้ก่อเหตุ บอกกับทีมข่าวว่า ปมสาเหตุที่ตนยิงนายประกาศิต ผู้บาดเจ็บ เกิดจากความบันดาลโทสะ ที่ถูกนายประกาศิต ยั่วโมโห และไม่ได้ตั้งใจยิง
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในระหว่างการสอบสวนผู้ก่อเหตุเพิ่มเติม โดยแจ้งข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น พกพาอาวุธ ไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ใช้ปืนในที่สาธารณะในเมืองโดยไม่มีเหตุอันควร
นางสาวอารีย์ (นามสมมติ) ลูกสาวผู้ก่อเหตุ บอกว่า ปมสาเหตุของปัญหานี้มาจากที่คุณย่าเสียชีวิต โดยครอบครัวมีพี่น้องกัน 6 คน พ่อเป็นคนที่ 4 ซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว เป็นคนลงแรงลงเงินทุนในการสร้างกิจการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฟาร์มหมู ฟาร์มไก่ ภายหลังนางกุ่ย มารดา เสียชีวิต แต่พี่น้องลำดับที่ 2 กับ 5 ฟ้องเอามรดกครั้งที่ 1 ปี 2554 ซึ่งพี่น้องลำดับ 1, 3 และ 6 สละสิทธิ์ เพราะเห็นว่าพ่อของตนเป็นคนสร้างขึ้นมา ผลการตัดสินครั้งที่ 1 แพ้คดี ศาลให้แบ่งทรัพย์สินคนละ 1 ใน 6 ของทรัพย์สินที่มี
จากนั้น ช่วงประวิงเวลาและติดสถานการณ์โควิด-19 ลำดับพี่น้องลำดับ 1, 3 และ 6 เปลี่ยนใจ อยากได้มรดกจึงมีการฟ้องครั้ง 2 กับทนายคนเดิม สุดท้ายแพ้คดีความ ศาลให้บังคับคดีให้แบ่งทรัพย์สิน คนละ 1 ใน 6 ของทรัพย์สินที่มีให้ทุกคน สำหรับมูลค่ากงสีบังคับคดีตีมูลค่า หลัก 100 ล้านบาท
โดนวันเกิดเหตุช่วงเช้าพ่อของตนไปฟาร์มไก่ ปกติพกปืนเข้าฟาร์มอยู่แล้ว เนื่องจากพื้นที่ค่อนข้างอันตราย จากนั้นน้องชายพ่อโทรมาตามให้ไปฟังผลที่บังคับคดีจังหวัดราชบุรี พอไปถึงที่เกิดเหตุพบว่าพ่อจะมีการจะเจรจากัน แต่ทางด้านของทนายความปฏิเสธที่จะพูดคุย และบอกว่าหากมีรายละเอียดอะไรให้ไปคุยกันที่ศาล ทำให้เกิดความบันดาลโทสะใช้อาวุธปืนยิง 1 นัด จนบาดเจ็บสาหัส โดยหลังเกิดเหตุยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับทางญาติพี่น้องคนอื่น ๆ ของพ่อ ส่วนตัวรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ปกติพ่อไม่ใช่คนใจร้อน และไม่ใช่คนใจแคบ แต่คาดว่าถูกยั่วโมโหจากทนายความมากกว่า
เบื้องต้น ตนขอโทษฝั่งผู้บาดเจ็บ และญาติผู้บาดเจ็บ อยากจะบอกว่าพ่อไม่ได้ตั้งใจก่อเหตุ ซึ่งตอนนี้ยังมีความกังวลใจหลายอย่าง ทั้งคดีความ และอาการบาดเจ็บของผู้บาดเจ็บ หลังจากนี้คงมีการทำเรื่องประกันตัวพ่อต่อไป
นายตั้ม (นามสมมติ) ลูกชายของพี่สาวลำดับ 2 ที่ฟ้องเอามรดก บอกว่า เรื่องมูลมรดกเป็นเรื่องของรุ่นพ่อและแม่ โดยนายสุกิจเป็นคนถือมรดกกงสี มีบางส่วนที่เป็นทรัพย์สินของบรรพบุรุษ และควรจะถูกแบ่งให้ลูก ๆ เท่ากันทุกคน ส่วนตัวมองว่าแม่ของตนก็เป็นผู้ที่ควรได้รับมรดกตามสิทธิ์ที่ควรจะได้รับ ทางครอบครัวไม่ได้อยากได้สมบัติในส่วนของนายสุกิจ ผู้ต้องหา ซึ่งผ่านกระบวนการทุกชั้นศาล และผลตัดสินออกมาแล้วว่าให้แบ่งกัน ตนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรเป็นปมสาเหตุที่นายสุกิจก่อเหตุยิง แต่ตนก็เป็นรุ่นลูก ไม่ได้เดือดร้อน หากผลตัดสินจะออกมาอย่างไร ส่วนเรื่องคดีความตนไม่ทราบรายละเอียด มีแค่บางครั้งที่ต้องไปวิ่งเต้นเอกสารแทนแม่ เพราะขณะนี้แม่ป่วยเป็นผู้ป่วยติดเตียง