สืบเนื่องมหากาพย์ดราม่ากระเป๋าแบรนด์เนมราคาครึ่งล้าน หลังจากที่นางสาวจิดาภา ชีนารักษ์ หรือ น้องชมพู่ อายุ 24 ปี ได้ขายกระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อ HERMES ที่ซื้อมาในราคา 459,000 บาท ก่อนจะขายต่อให้กับร้านรับซื้อแบรนด์เนมมือสองของคุณณภาภัช ระหงษ์ หรือ ทีน่า ในราคา 395,000 บาท
แต่ทว่าการซื้อขายครั้งนี้กับเต็มไปด้วยประเด็นดราม่า เพราะร้านรับซื้อแบรนด์เนมมือสอง อัดคลิปโจมตีว่าเป็นของปลอมต้องนำไปทำลายทิ้ง พร้อมกับจะไม่โอนเงินและท้าให้ส่งตรวจพิสูจน์ว่าเป็นของแท้หรือไม่ "ถ้าใบนี้เป็นของแท้ให้เลย 2 ล้านบาท และจะเลิกเป็นกะเทย ซึ่งจะไม่ใช้ชื่อ ทีน่า อีกต่อไปแล้วจะเปลี่ยนเป็น สรพงษ์” และจะให้หมอใส่อวัยวะเพศชายให้อีกด้วย
กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งกระเป๋าเจ้าปัญหาให้กับสถาบัน The Catch fake Brandname สถาบันสอนดูกระเป๋าแบรนด์เนมที่แรกของประเทศไทย โดยมีผู้เชี่นวชาญตรวจสอบ พร้อมยืนยันว่ากระเป๋าเป็นของแท้ รวมไปถึงยังมีเอกสารตรวจสอบจากสถาบันต่างประเทศยืนยันอีกหนึ่งเสียงว่ากระเป๋าดังกล่าวเป็นของแท้อย่างแน่นอน
หลังจากนั้น นางสาวจิดาภา เจ้าของกระเป๋าใบดังกล่าว ยืนยันว่าจะเดินหน้าเรียกเงิน 2 ล้านบาท ตามที่เจ้าของร้านรับซื้อลั่นวาจาเอาไว้ และเจ้าของร้านก็ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น "สรพงษ์" ด้วย ขณะที่คุณณภาภัช หรือชื่อเดิม "มงคลศักดิ์" ออกมาระบุว่าตนไม่ผิดเพราะโอนเงินคืนไปแล้ว และตนก็มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรได้
ล่าสุดวันที่ 20 ธ.ค.64 ทนายเกิดผล แก้วเกิด พร้อมด้วยนางสาวจิดาภา เดินทางไปออกรายการโหนกระแส พร้อมกับคุณณภาภัช มานั่งพูดคุยถึงปัญหากระเป๋าดังกล่าว ซึ่งบางช่วงบางตอนพิธีกรทดสอบเจ้าของร้านรับซื้อว่าอันไหนกระเป๋าแท้อันไหนกระเป๋าปลอม จำนวน 2 ใบ สุดท้ายมี 1 ใบ ที่เจ้าของร้านทายผิด จากของจริงทายว่าเป็นของปลอม
คุณณภาภัช ระหงษ์ หรือ สรพงษ์ และกำลังจะเปลี่ยนเป็น "มงคลศักดิ์" เจ้าของร้านกระเป๋าแบรนด์เนม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า จริง ๆ แล้วคำพูดทั้ง 3 อย่างของตนเป็นเหมือนคำสร้อยเพื่อขายของ เน้นเอาสนุกสนาน อีกทั้งคู่กรณีก็ไม่ได้รับคำท้าจากประโยคที่ตนพูด ตนจึงยืนยันว่าเงินจำนวน 2 ล้านบาทตนไม่ขอจ่าย เพราะตนมองว่าเรื่องที่พูดไปเป็นแค่การพนัน โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ตอบรับคำท้าว่าจะเล่นด้วยหรือไม่
แต่ในส่วนของการเปลี่ยนชื่อนั้น ตนพร้อมจะเปลี่ยนชื่อแต่ไม่ขอใช้ชื่อ สรพงษ์ แต่จะขอเปลี่ยนเป็นชื่อ "มงคลศักดิ์" เป็นชื่อเดิมตามบัตรประชาชนเก่าที่พ่อกับแม่ตั้งให้ และตั้งใจจะไปเปลี่ยนชื่อพรุ่งนี้ (21 ธ.ค.64) แต่ไม่ขอระบุสถานที่ว่าจะไปเปลี่ยนที่ไหน
ส่วนประเด็นที่ตนบอกว่าจะเลิกเป็นกะเทย ในส่วนนี้ตนขอย้อนถามว่า "กะเทยเลิกเป็นได้ไหม แล้วเราผิดเหรอ เพราะของทุกอย่างเราก็ให้พิสูจน์แล้ว เราไม่ได้พูดว่าปลอม เราไม่ได้เอากระเป๋าไปซ่อน เรายอมรับว่าผิดพลาดแต่ไม่มีเจตนาที่จะโกง ถามว่าได้ขอโทษอีกฝ่ายหรือยัง ตั้งแต่พิสูจน์ได้ว่าไม่ปลอมเราก็โอนเงินไปคืนแล้ว และขอโทษแล้ว" ทั้งนี้ หลังจากที่ตนได้ส่งกระเป๋าไปตรวจสอบที่สถาบันตรวจสอบกระเป๋าในต่างประเทศ เมื่อผลพิสูจน์ว่ากระเป๋าเป็นของแท้ก็โอนเงินเพื่อซื้อกระเป๋า
อย่างไรก็ตาม ตนยังยืนยันว่าหลังจากนี้จะเปิดร้าน "ถามว่าเปิดไม่เปิดแบบนี้ตาย เราไม่ได้ไปโกงใคร ถามหน่อยอย่ามาพูดแบบนี้น่าเกียจ ไม่ได้โกงใคร อย่าไปพูดแบบนี้อีก" ตนยืนยันว่าไม่กลัวลูกค้าจะหายไป ตนเชื่อใจเพราะอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะเครดิตความน่าเชื่อถือ ไม่ได้ไปโกงใคร ส่วนเรื่องดาราท่านหนึ่งขายกระเป๋าปลอมให้นั้น ประเด็นนี้ตนขอพักไปก่อน เรื่องราวผ่านไปแล้วถือว่าทำบุญ
"ก็ในอดีตเคยมีประสบการณ์มาแล้ว 1 ครั้ง ลักษณะคล้าย ๆ แบบเดียวกัน เลยหวั่น ๆ ว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ส่วนที่เจ้าของกระเป๋ายืนยันจะเอา 2 ล้านบาทเท่านั้น ขอไปต่อสู้ในชั้นศาล และกรณีที่ไลฟ์สดประชดประชันผู้ประกาศข่าว ในส่วนนี้ไม่พูดถึง" เจ้าของร้านรับซื้อแบรนด์เนม กล่าว ก่อนจะรีบเดินหนีสื่อมวลชน
นางสาวจิดาภา ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวว่า ตนยืนยันคำเดิมจะขอรับคำขอโทษเป็นเงิน จำนวน 2,000,000 บาท ตามที่คู่กรณีลั่นวาจาไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งหลังจากที่เจอหน้ากัน เขาก็ไม่ได้เข้ามาชี้แจงหรือขอโทษตนแม้แต่คำเดียว ตนจึงยืนยันคำเดิมว่าจะขอเดินหน้าฟ้องร้องต่อไป แม้ว่าเขาจะพยายามอ้างว่าไม่ได้มีเจตนาโกงหรือยักยอกทรัพย์ ตนขอให้เป็นกระบวนทางกฎหมายจัดการ เพราะตนมั่นใจว่าการกระทำของเขาเข้าข่ายยักยอกทรัพย์และทำลายทรัพย์
เมื่อถามถึงกรณีที่ก่อนหน้านี้คู่กรณี ส่งพิกัดปลอมให้กับตน ในช่วงที่มีการทักท้วงขอคืนกระเป๋าใบดังกล่าว ในประเด็นนี้ตนยืนยันว่าเขาแกล้งส่งหมุดไปที่วัดท่ากระบือ ไม่เป็นไปตามที่เขาระบุว่าให้ไปรับที่บ้าน ซ้ำพอพูดไปพูดมาเขากลับบอกว่าจะไม่คืนกระเป๋า เนื่องจากเป็นของปลอม กระทั่งตนต้องโทรศัพท์ไปคุยกับเขาว่าจะบินไปกรุงเทพฯ เพื่อไปรับกระเป๋าเอง ซึ่งเขาอ้างว่าให้มารับที่ร้านได้ แต่พอไปถึงจริงเขากลับโวยวายและพูดจาหยาบคาย
"หนูยืนยันว่าอีกฝ่ายพูดเองว่าจะให้เงิน 2 ล้าน โดยที่หนูก็ได้บอกว่าขอแคปคำพูดนั้นนะ ซึ่งเขาก็รับรู้ หนำซ้ำเขาไม่ได้พูดแค่ครั้งเดียว ยังมีการไปพูดในไลฟ์สดของเขาด้วย นอกเหนือจากในไอจี ส่วนตัวจึงมีหลักฐานแน่นอนค่ะ" เจ้าของกระเป๋า กล่าว
ทนายเกิดผล ระบุเพิ่มเติมว่า เบื้องต้นที่เขาออกมาพูดในรายการ มันแสดงให้เห็นว่าเขาผิดพลาดในส่วนของการไปกล่าวหาว่าเจ้าของประเป๋าส่งกระเป๋าปลอมให้ หลังจากนี้ในส่วนของการดำเนินการตามกฎหมาย นอกเหนือจะแจ้ง 2 ข้อหา คือ ยักยอกทรัพย์ และทำลายทรัพย์แล้ว จากพฤติกรรมที่เขาไม่ยอมคืนกระเป๋าตั้งแต่แรก ก็เห็นได้ขัดแล้วว่าเข้าข่ายข้อหาที่แจ้งไว้ จะอ้างว่าไม่ใช่เป็นการยักยอกทรัพย์เป็นไปไม่ได้ ส่วนการกักกระเป๋าไว้และขัดเขียน ทั้ง ๆ ที่กรรมสิทธิ์ยังเป็นของเจ้าของกระเป๋า ตรงจุดนี้ก็เห็นได้ชัดว่าทำลายทรัพย์
ในส่วนที่เจ้าของร้านรับซื้อระบุว่าถ้ากระเป๋าใบดังกล่าวเป็นของแท้ จะยอมจ่าย 2 ล้านบาท พร้อมมีการเปลี่ยนชื่อ หรือเปลี่ยนสภาพเพศ ในส่วนนี้เป็นกฎหมายเกี่ยวกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 454 การที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งให้คำมั่นไว้ก่อนว่าจะซื้อหรือขายนั้น จะมีผลเป็นการซื้อขายต่อเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้บอกกล่าวความจำนงว่าจะทำการซื้อขายนั้นให้สำเร็จตลอดไป และคำบอกกล่าวเช่นนั้นได้ไปถึงบุคคลผู้ให้คำมั่นแล้ว ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องของการพนันตามที่อีกฝ่ายอ้าง เพราะการพนันจะต้องมีบุคคลที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง ตนจึงย้อนถามว่าเข้าใจคำว่า คำมั่น กับการพนันหรือไม่ เขาเองก็ยังไม่เข้าใจ ซึ่งข้อมูลที่เขาให้สัมภาษณ์ทุกอย่างในวันนี้ล้วนนำไปประกอบในขั้นศาลได้
หลังจากนี้ ตนตั้งใจจะดำเนินการเเจ้งข้อหาเพิ่มเติม ในส่วนข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา เนื่องจากเป็นการดูหมิ่นทำให้หลายคนเข้าใจผิด และอีกหนึ่งข้อหาคือพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ การนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ส่วนกรณีคำมั่น 2 ล้านบาทหากอีกไม่จ่ายก็จะดำเนินตามกฎหมาย พร้อมกับค่าเสียหายในส่วนของข้อหาหมิ่นประมาทด้วย
"ผมยืนยันว่าหลักฐานข้อมูลที่ได้รับ ตอนนี้เปอร์เซ็นต์ที่จะชนะน่าจะสูง ถามว่าหากอีกฝ่ายยอมชดใช้เงิน 2 ล้านบาท พร้อมทำตามสัญญาที่ได้พูดไว้ ผมก็พร้อมยอมความ ซึ่งในทางกฎหมายก็สามารถยอมความได้ ส่วนถามว่ากระเป๋าจะให้คืนเขาไปหรือเอาไว้เอง หากเขาจ่าย 2 ล้าน อันนี้ต้องว่ากันอีกครั้ง" ทนายเกิดผล กล่าว
เวลา 16.00 น. ทนายเกิดผล พร้อมน้องชมพู่ เจ้าของกระเป๋า ได้เดินทางไปยัง สน.บางขุนเทียน เพื่อเข้าให้ปากคำเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และนำเอกสารมายืนยันว่ากระเป๋าใบดังกล่าวเป็นของแท้จริง รับรองจากสถาบันผู้เชี่ยวชาญด้านกระเป๋า 3 สถาบันที่ตั้งอยู่ในเมืองไทย 1 แห่ง และประเทศสหรัฐอเมริกา 2 แห่ง เป็นสถาบันที่หลายคนยอมรับทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบปากคำเพิ่มเติมเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมง ก่อนที่จะเเล้วเสร็จ ก่อนที่ตำรวจส่งมอบกระเป๋าใบดังกล่าวให้กับน้องชมพู่ โดยเจ้าตัวระบุสั้น ๆ ว่า "ตอนนี้หนูก็รู้สึกโล่งใจระดับหนึ่ง ค่ะ"
นางสาวสุนิสา เอกวิทยาเวชนุกูล หรือ เจี๊ยบ และนายพิชญ์พงศ์ กิจพิทักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกระเป๋าแบรนด์เนม จากสถาบันตรวจสอบกระเป๋าแบรนด์เนมอย่าง "The Catch Fake Brandname" ได้นำใบการันตีจากสถาบันตรวจสอบกระเป๋าแบรนด์เนมในประเทศไทย และประเทศสหรัฐอเมริกา นำมาให้ทีมข่าวได้ดู
โดยใบแรกจะเป็นของ "The Catch Fake Brandname" ซึ่งเป็นสถาบันของไทย ขณะที่อีก 2 ใบ จะเป็นใบการันตีจากสถาบันเมืองนอก ที่เชื่อถือได้และหลาย ๆ ประเทศนิยมกัน โดยจะเป็นสถาบันตรวจสอบกระเป๋ายี่ห้อดังกล่าวโดยเฉพาะ ซึ่งทั้ง 3 แห่งผลออกมาพบว่าเป็นของแท้ มีการระบุตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นรุ่น ตัวเลขนัมเบอร์ หนังของกระเป๋า และปีที่ผลิต เป็นต้น
นางสาวสุนิสา ระบุว่า กรณีที่อีกฝ่ายได้ออกมาบอกก่อนหน้านี้ว่า ตอนแรกไม่เชื่อการพิสูจน์จากสถาบันต่าง ๆ ที่เรานำไปตรวจสอบ ในส่วนนี้ตนอยากจะบอกว่าการนำไปตรวจสอบนั้นล้วนมีความน่าเบื่อถือ และเขาเองก็ยังมีการส่งไปตรวจสอบก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแค่ไม่ได้ออกมาเปิดเผย ถามว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นตอนนี้ค่อนข้างเยอะ จากราคา 400,000 กว่า ตอนนี้หากนำขายต่อคงจะอยู่ที่ราคา 270,000 -280,000 บาท ลดลงมาครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งปกติแล้วตนจะเจอเคสแบบนี้เกือบทุกวัน มีบ้างที่เป็นคดีความแต่ไม่ได้เป็นเรื่องราวใหญ่โตเหมือนครั้งนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ร้านยึดกระเป๋าแบรนด์เนมยอมคืนของ อ้างถ้าพังจะชดใช้ เจ้าของแจงคดีนี้จบที่ศาล
- สถาบันสอนดูกระเป๋าแบรนด์เนมชื่อดัง ตรวจสอบ Hermes เบื้องต้นเป็นของแท้
- กะเทยฉุนฉะ "พุทธ" เห้ เจอฟาดหลักฐานไม่คืนเป๋า เหยื่อคืนเงิน "สรพงษ์" ลุยแจ้งจับ (คลิป)
- สาวสองลั่นจะใช้อีโต้ฟันเป๋า รู้ผลของแท้ แซะ "พุทธ" ช่วยดัง เจอสวน "ซื่อสัตย์จะเจริญ" (คลิป)