เผยมุมมองความสำเร็จผู้คร่ำหวอดในแวดวงบันเทิงอย่าง บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท เดอะ วันฯ เจ้าพ่อสื่อโทรทัศน์ของเมืองไทย การปรับตัวให้ทันโลก โดยไม่ยึดติด กลยุทธ์ความต่างและเปิดกว้าง ที่ทำให้วันนี้ช่องวันสามารถคว้าเรตติ้งไต่อันดับต้นๆ ของประเทศมาครอง โดยเบื้องหลังความสำเร็จนั้น บอย ถกลเกียรติ เปิดใจเล่าทั้งน้ำตาวินาทีตัดสินใจวางเดิมพันอนาคต ช่อง ONE ทุ่มเงินเก็บทั้งชีวิต เทหมดหน้าตักเพื่อไปต่อแพ้ไม่ได้ เรื่องราวทั้งหมดนี้ในรายการ WOODY FM
ปรากฎการณ์ละคร Exact ตั้งแต่ทำละครมาก็ต้องยอมรับว่ามีความเข้าถึงยากนิดนึงสำหรับแมสในวันนั้น แต่พอวันหนึ่ง ช่อง ONE ขึ้นมาแซงช่องอื่นๆ ?
บอย ถกลเกียรติ : จะบอกง่ายๆ ว่าเราไม่ยึดติด เพราะโลกมันเปลี่ยนไป เราต้องทำละครให้คนสมัยนี้ดู ตัวละครที่จะ Attractive กับเขา นางเอกโง่ไม่ได้แล้วไงในสมัยนี้ ถ้าละครไทยสมัยนี้นางเอกโง่คนดูเปลี่ยนช่อง คือคุณอย่าลืมว่าละครมันคือ Reflection ของสังคมในแต่ละยุคนะ เพราะฉะนั้น Logic ตัวละครจะเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน ถ้าเป็นเมื่อก่อนพระเอกต้องยอม เพราะฉันเป็นคนดี ฉันไม่สู้ พ.ศ นี้คนบอกโง่
วิธีการทำงาน เห็นอะไรในตัวเองที่เปลี่ยนไปบ้าง ในเรื่องของการบริหารงาน บริหารชีวิต ?
บอย ถกลเกียรติ : ไม่ยึดติด เปิดกว้าง ไม่เสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง อะไรผ่านๆ ไปได้บ้าง ก็ผ่านไป Secret to Success คือ รู้ว่าคุณรู้อะไร และรู้ด้วยว่าคุณไม่รู้อะไร แต่ถ้าเกิดคุณต้องทำในสิ่งที่คุณไม่รู้ไปหาคนอื่นมาทำ มันไม่ต้องรู้ทุกอย่างนิชีวิตคนเรา มันไม่ต้องทำเป็นทั้งหมดป่ะ ไปหาคนที่เก่งๆ ที่เขามีประวัติที่ดีเข้ามาทำกับเราสิ แต่ในขณะเดียวกันในความเปิดกว้าง เราก็ต้องกลับมา QC แล้วก็ดูว่า Target หรือ Community ของเราเขารับไหม มันต้องกลับมาดู ไม่ใช่เปิดกว้างไปหมดสุดท้ายอะไรก็ไม่รู้ อันนี้ก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นมันคือการบาลานซ์
การเข้าตลาดหลักทรัพย์ของ ONEE เป็นอย่างไรบ้าง ?
บอย ถกลเกียรติ : ดีครับ แต่หนักขึ้นมาหน่อยเพราะความรับผิดชอบมันมากขึ้น วันแรกที่เข้าตลาด หลายๆ คนก็จะบอกว่างานที่ทำมาเรียบร้อยแล้วจบลง ต้องบอกว่าไม่จบหรอกครับมันเริ่มต้นใหม่ครับ เพราะว่าเมื่อก่อนนายผมคือผู้ถือหุ้นไม่กี่คน แต่ตอนนี้นายผมมีผู้ถือหุ้นเป็นพัน เพราะฉะนั้นมีอะไรแบบนี้ขึ้นความรับผิดชอบมันมากขึ้นอยู่แล้ว
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรานึกถึงภาพนี้ไหม ?
บอย ถกลเกียรติ : ชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะต้องทำบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ แต่ว่าในวันที่เราต้องมาร่วมลงทุนใน ONEE ยังไงก็ต้องเข้า ถ้าย้อนไปเมื่อเวลาปี 2014-2015 พอได้ช่องมาไม่กี่เดือนมั้งก็จะกลายเป็นดิจิตอลดิสรัปชั่น คนก็จะบอกว่าพวกที่ได้ช่องมาแย่แล้ว เจ๊งแน่
ยอมรับไหมว่าตอนนั้นแอบหวั่นๆ บ้าง ?
บอย ถกลเกียรติ : แน่นอนสิ แน่นอนคนดูน้อยลงแหล่ะ แต่เราก็มีความเชื่อมั่นว่าทีวีก็ยังอยู่ แต่เราจะหารายได้อะไรเพิ่มเข้ามา ทำให้เราย้อนกลับไปดูตัวเองว่าจริงๆ เราเป็นใคร เราเป็นคนทำคอนเทนส์ไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นชาแนลต่างๆ ที่มีเพิ่มมากขึ้นในโลกออนไลน์ แปลว่ามันมีโอกาสเพิ่มขึ้น ก็เลยเป็นการหาอย่างอื่นมาเพิ่มมาเสริมไม่ใช่แค่ช่องทีวี และนั้นคือ เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ เราไม่ใช่แค่ช่องทีวี
จะมีอะไรสนุกๆ เกิดขึ้นบ้าง มีอะไรที่ยิ่งใหญ่ เพราะแต่ละอย่างที่บอยจัดมันค่อนข้างที่จะเปลี่ยนแปลงวงการเสมอ ?
บอย ถกลเกียรติ : พอมันมีโอกาสมากขึ้น เอื้อให้เราสามารถทำอะไรได้แตกต่างมากขึ้น จากที่เมื่อก่อนเวลาเราจะทำละครโทรทัศน์สักเรื่อง เราก็ต้องดูแล้วว่าจะได้เรตติ้งไหม แล้วถ้าจะได้เรตติ้งต้องทำยังไง พอมันมีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ยิ่งจอเล็กลงเขายิ่ง Concentrate เพราะฉะนั้นความธรรมชาติของการแสดงมันมีเพิ่มมากขึ้น แปลว่าอะไร แปลว่ามันมีความสากลได้มากขึ้นหรือเปล่า มีความออนไลน์เข้ามา เราเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ไม่ใช่แค่ช่องทีวี เราก็เลยสามารถที่จะผลิตคอนเทนส์ที่คิดว่ามันจะไปเข้าตาต่างชาติได้มากขึ้น ถ้าพูดกันภาษาบ้านๆ
คือเราโกอินเตอร์ได้ง่ายขึ้น แล้วเราก็ทำมาแล้ว อย่าง Girl From Nowhere แนนโน๊ะ ก็ได้รางวัลต่างๆ มากมายในปีที่ผ่านมา เป็นนิมิตหมายที่ดี และอีกอันหนึ่งพูดตรงๆ เลยว่าขอบคุณเกาหลีใต้นะ ที่มีทั้ง Squid Game หรือว่า BTS อะไรต่างๆ ที่เขาเปิดตลาดเอเชียให้กับชาวโลกได้เห็น และทำให้คนหันมามองเอเชีย ถ้าพูดกันตรงๆ จากเกาหลีใต้ Next Step เขาก็มองมาที่ไทย เพราะเราก็ทำคอนเทนส์ที่เข้าตาคนนอกประเทศได้อยู่พอสมควร
ย้อนกลับไปใน วันที่เปี่ยมสุขที่สุดในชีวิต พี่บอยจะนึกถึงช่วงเวลาไหน ?
บอย ถกลเกียรติ : อาจจะก่อนที่จะประมูลช่องทีวีด้วยซ้ำ ตอนนั้นผมดูแล บริษัท เอ็กแซ็กท์ (Exact) และบริษัทซีเนริโอ (Scenario) ณ ตอนนั้นผมคิดว่าเราก็มีความสุขกับการผลิตคอนเทนส์ ทำละคร ทำซีรีส์ ทำละครเวที ทำซิทคอม ทำคอนเสิร์ต เราสนุกอ่ะ พอมันเกิดดิจิตอลดิสรัปชั่นขึ้น ตรงนี้มันก็กลายเป็นโอ๊ยตายแล้วฝุ่นตลบ
อันนั้นเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากในชีวิต มันเป็นจังหวะการตัดสินใจที่มันหนักมากนะ ก็มีการพูดคุยกับทาง GMM ผมบอกว่ามันต้องลงแล้วครับ ไม่งั้นตกรถไฟนะ มันเสี่ยงมากนะ มันลงทุนสูงมากนะ ทางแกรมมี่ก็ยังมีความกล้าๆกลัวๆ จนมีคำถามที่แบบมาร่วมลงทุนกันไหมล่ะ ผมก็บอกเอา แต่ว่ามันก็ลงทุนสูงจริงๆนะ มันก็ต้องกู้หนี้ยืมสินนะ ต้องไปกู้แบงค์นะ มีผู้ใหญ่ที่เป็นทางการเงินเขาก็บอกว่าคุณแน่ในเหรอ นี่มัน Your life saving ผมก็ตัดสินใจหนักมากตอนนั้น คือการที่เราเป็น Production Company มีทีมงานเต็มไปหมดเลย
แล้วเรามีความเชื่อว่าเราลงทุนแล้วมันจะดี แต่โอกาสมันก็ไม่ได้เยอะ ณ ตอนนั้น แต่ถ้าเราไม่ลงทุนมันจะเกิดอะไรขึ้น เราจะไปต่อในวงการนี้ได้ไหม ไม่ใช่แค่เราลูกน้องอีกทั้งไม่รู้เท่าไหร่ ผมมีออฟชั่นอยู่ 2 ออฟชั่น ผมลงทุนแล้วก็ไปกันต่อ กับอีกออฟชั่นหนึ่งก็คือแยกย้ายดีใจที่รู้จักกัน เพราะมันไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ผมก็เลยเลือกออฟชั่นที่ว่ามาทำกันต่อ มาอยู่ด้วยกัน
บอยทำไมเสียน้ำตาเวลาพูดถึงเรื่องนี้ ?
บอย ถกลเกียรติ : มันคือเงินเก็บทั้งชีวิตวู้ดดี้
มีคิดไหมว่ามันอาจจะไม่เหลืออะไรเลยหลังจากนี้ ?
บอย ถกลเกียรติ : Yes แน่นอน
ดีใจที่พี่ยังนั่งอยู่หน้าผมตรงนี้ ดีใจที่ ถกลเกียรติ ยังอยู่กับเรา พลังที่เราจะต้องตัดสินใจ จะต้องเตรียมตัวอย่างไร ?
บอย ถกลเกียรติ : คือผมยังเชื่อในพลังในการทำงานของผมและทีม ผมยังเชื่อในวิสัยทัศน์ ยังเชื่อในวิธีคิด และผมยังเชื่อในแพชชั่น เชื่อในพลังที่จะเดินต่อ ศักยภาพและความสามารถของคนที่อยู่ในทีมทุกคนที่จะไปต่อด้วยกัน
พูดถึงเรื่องของทีมในการทำงาน โดยเฉพาะเรื่องของอารมณ์พี่ มันปรับไปเยอะมาก อยากให้พูดถึงอารมณ์ของมนุษย์ในการทำงาน
บอย ถกลเกียรติ : นิ่งมากขึ้นนะ แต่ถามว่ามันมีระเบิดลงอยู่ประปรายบ้างไหมก็คงมีบ้าง มันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่คงไม่ได้บ่อยเท่าเมื่อก่อน เป็นคนพูดเสียงดังด้วยไง คนบางทีก็จะกลัว อย่างเช่น บอกไปแล้ว คุยไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่มีอะไรกลับมา อันนี้เป็นอะไรที่น่ารำคาญมาก ตกลงกันแล้ว ทำไมต้องมาตอบกันอีก
ถ้าจะต้องสรุปความรู้สึกของ "บอย ถกลเกียรติ" ในวันนี้ในการเป็นพ่อของลูก ในการเป็นหัวหน้าขององค์กร ในการเป็นครีเอเตอร์คนหนึ่ง สรุปให้ผมฟังได้ไหมครับในความเป็น บอย ถกลเกียรติ คืออะไร ?
บอย ถกลเกียรติ : ยังเป็นคนที่เรียนรู้ไม่รู้จบ ใช้สิ่งที่เราได้เรียนรู้มาตลอดให้เป็นประโยชน์ต่อปัจจุบันและก็อนาคต มีทั้งแพชชั่นที่จะปรับเปลี่ยน และมีทั้งความเข้าใจที่จะยอมรับ สิ่งสำคัญที่สุดคือการบาลานซ์ ทุกสิ่งที่พูดมาเราต้องบาลานซ์ให้ได้