เปิดใจ "น้องจ่อย" ตายแล้วฟื้น ท้าวหิรัญชุบชีวิตแลกเสียนิ้วมือ - เท้า 10 ปีไม่มีป่วย (คลิป)

จากกรณีมีการพูดถึงตำนานท้าวหิรัญพนาสูร ซึ่ง "มดดำ คชาภา" พิธีกรดังเล่าว่าเคยเจอเหตุการณ์ขณะเป็นพิธีกรร่วมรายการกับ หนุ่ม กรรชัย ได้พูดคุยกับเด็กชายวัย 10 ขวบในตอนนั้น ขณะไปรักษาตัวที่ รพ.พระมงกุฎ เด็กตายแล้วฟื้นขึ้นมาระหว่างนั่งสัมภาษณ์อยู่นั้นนิ้วเด็กหลุดทีละข้อต่อหน้า

วันที่ 21 ม.ค. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมาที่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลมงคลธรรมนิมิต อำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง นายบุญมาก คล้ายทอง หรือ จ่อย อายุ 20 ปี เล่าเหตุการณ์ว่า เมื่อช่วง 10 ปีที่แล้ว ตนจำได้ว่าไปอยู่อีกที่หนึ่ง แต่ไม่รู้ที่ไหน มีแต่หมอกขาวลอยขึ้นมา เหมือนคนละโลกกับที่มนุษย์อยู่ พบคนแต่งตัวแบบโบราณ 2 คน นุ่งโจงกระเบนคล้ายยมทูตพาตนมา ระหว่างที่เดินผ่านตนเห็นคน นั่งกินข้าวกันเป็นกลุ่ม ๆ บางคนก็ไม่ได้กิน เนื่องจากจะได้กินนั้นต้องมีคนทำบุญไปให้ หรือเราทำบุญไว้ตอนมีชีวิต หากคนใครที่ไปแย่งกินจะถูกตี และได้เห็นกระทะทองแดงด้วย

ต่อมาจึงได้พบกับตาและพี่ชายของตนที่ได้ตายจากไปนานแล้ว โดยตาหรือพ่อใหญ่บอกกับตนว่า ตนได้ตายแล้วจึงมาอยู่ที่นี่และได้พูดคุยกับพี่ชายที่ไม่เคยเจอกันอยู่นาน จากนั้นพ่อใหญ่ได้ถามว่า "มึงจะกลับไปร่างของมึงไหม" หากกลับไปให้ทิ้งธูปเทียนที่ถือไปในมือไว้ ในนั้นมีแบงก์พันบาทอยู่จำนวนหนึ่ง ตนจึงมอบให้พ่อใหญ่และพี่ชายไป

ระหว่างที่เดินทางกลับมาที่ร่างในนิมิตของตน พบกับท้าวหิรัญพนาสูรที่มีรูปร่างใหญ่ ขี่ม้าเข้ามาหาตน และได้ช่วยชีวิตให้ฟื้นกลับมา ท้าวหิรัญพนาสูรพูดว่า ให้บอกกับพ่อด้วยว่าให้เอาขนุน 2 ลูก และไข่เป็ดต้ม 100 ใบ มาทำการแก้บนที่รูปปั้นท้าวหิรัญพนาสูร ซึ่งอยู่บริเวณหลังโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า พ่อปู่ฤๅษีขี่ม้าลายมาช่วยพูดกับตนว่า "กูมาช่วยมึง ให้บอกพ่อ ให้เอาม้าลายไปแก้บนให้ด้วย"

หลังจากที่ตนเองฟื้นขึ้นมาจึงได้บอกเล่าเรื่องราวที่พบเจอให้พ่อแม่ฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อ ตอนที่ตนฟื้นขึ้นมา มือตัวเองทั้ง 2 ข้าง และเท้าทั้ง 2 ข้างมีสีดำ และมือหงิกไม่สามารถคลี่ออกได้ เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ตนได้ไปออกรายการบอกเล่าเก้าสิบ ทางช่อง 9 ของมดดำ คชาภา ร่วมกับหนุ่มกรรชัย ซึ่งเป็นพิธีกร ระหว่างที่ตนกำลังสัมภาษณ์อยู่นั้นตนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ โต๊ะเป็นโต๊ะกระจก จึงได้เอามือข้างซ้ายมาเคาะกระจกเล่น นิ้วมือข้างซ้ายหลุดมา 1 นิ้ว มีเลือดออก แต่ไม่มีอาการเจ็บปวด พิธีกรทั้ง 2 คนตกใจมาก

ต่อมาตนกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน แม่เป็นคนทำแผลให้ หลังจากนั้นนิ้วมือข้างซ้ายก็ค่อย ๆ หลุดทีละนิ้ว และเท้าข้างซ้ายก็ค่อย ๆ หลุดไปทีละนิ้ว ส่วนทางมือด้านขวานั้นหลุดพร้อมกันทั้ง 5 นิ้ว เนื่องจากตนประสบอุบัติเหตุตกลงจากเตียง ทุกครั้งที่นิ้วหลุดตนไม่เคยไปหาหมอ มีเพียงแม่ที่คอยทำแผลให้ เพราะตนไม่มีอาการเจ็บปวด ทุกวันนี้ตนยังคงเก็บนิ้วที่หลุดไว้อยู่ โดยนิ้วไม่เน่าเปื่อย

อาการที่เกิดขึ้นนั้นหมอบอกว่าสาเหตุที่นิ้วมือนิ้วเท้าของตนหลุด มาจากที่หมอฉีดยากระตุ้นหัวใจตอนที่ผ่าตัด14 ครั้งไป เกินกว่าที่ร่างกายรับไหว ทำให้เลือดไปอุดและเลี้ยงร่างกายตรงบริเวณนิ้วมือ แขน นิ้วเท้า ไม่ทันนิ้วจึงแข็งและหลุดออกมา ทุกวันนี้ร่างกายแข็งแรง ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย ตอนแรกอาจจะใช้ชีวิตลำบาก แต่ปัจจุบันก็ทำงานได้ทุกอย่างทั้งทำไร่ ทำสวน ขับรถ ขี่รถ และที่สำคัญหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ตายแล้วฟื้นตนเองยังรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างเช่น เวลาคนแถวบ้านจะเสีย หรือญาติพี่น้องจะเสียชีวิต ตนจะสัมผัสได้ ส่วนใหญ่ตนจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของตนเอง อย่างเช่น เมื่อวานตนนึกถึงท้าวหิรัญพนาสูร และได้เปิดดูรายการที่ถ่ายถึงท้าวหิรัญพนาสูร ตนนึกในใจว่า "พ่อ ทำไมไม่ให้เขามาถ่ายหนูบ้าง" จนวันนี้ก็ตนรู้สึกว่าจะได้ออกสื่อ สุดท้ายก็มีทีมข่าวอมรินทร์มาทำข่าวตน

ที่ผ่านมาตนใส่สร้อยคอท้าวหิรัญพนาสูรตลอด แต่เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ตนว่ายน้ำและเผลอทำสร้อยองค์ท้าวหิรัญพนาสูรหลุดหายไป ตนก็ทำได้เพียงแต่เคารพนึกถึงบูชา และเชื่อว่าท้าวหิรัญพนาสูรคอยดูแลติดตามและคุ้มครองตนให้แคล้วคลาดจากภัยอันตราย

นางสมคิด คล้ายทอง แม่ของนายจ่อย เล่าเหตุการณ์ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วว่า ตั้งแต่ที่ตนตั้งท้องลูกชายคนนี้ ลูกเกิดมาน้ำหนักเพียง 1.5 กิโลกรัม ใช้วิธีการผ่าคลอด แพทย์บอกว่าลูกมีอาการตัวเหลืองให้เอาไปเข้าตู้อบ จากนั้นแพทย์ได้บอกว่าลูกของตนป่วยเป็นหลอดเลือดหัวใจห้องล่างขวาตีบตัน ผนังกั้นหัวใจห้องล่างมีรูรั่ว เส้นเลือดหัวใจเกินตั้งแต่แรกเกิด เข้าออกรักษาตัวผ่าตัดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ สถาบันเด็กอย่างต่อเนื่อง ในตอนช่วงนั้นอายุ 10 ขวบ หมอทำการผ่าตัดอีกครั้ง และต้องนอนอยู่ในห้องไอซียู ตลอดเวลา 14 วัน ใช้เครื่องช่วยหายใจมาตลอด

กระทั่งใน วันที่ 4 พ.ค. 2554 พยาบาลที่มาตรวจพบว่า ลูกไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใด ๆ ไม่มีความดันในร่างกาย ไม่หายใจ ตัวเย็นเฉียบ หมอและพยาบาลได้แจ้งว่าลูกเสียชีวิตไปแล้วในช่วงบ่าย หลังจากที่ตนทราบเรื่องว่าลูกได้เสียชีวิตแล้ว ทางญาติได้ช่วยกันเตรียมงานเพื่อรอรับศพลูก เตรียมโลงเย็น เครื่องไฟ นิมนต์พระ ทำงานเลี้ยงแขกที่จะมาช่วยงานศพ มีรถมาจอดที่บ้านจำนวนมาก และนำภาพน้องจ่อยตั้งหน้าศพเพื่อรอรับศพออกจากโรงพยาบาล นำกลับไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณี

จากนั้นเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นในช่วงเย็น หมอได้เข้าไปตรวจที่ศพของลูก นำดอกไม้ธูปเทียนออกจากมือ เพื่อจะอาบน้ำทำความสะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าจะนำศพกลับไปบ้าน พบว่าเท้าของลูกกระดิกได้ จากนั้นหมอและพยาบาลก็มาดู วัดความดันก็พบว่าความดันเริ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ หมอและพยาบาลก็นำตัวกลับเข้าไปทำการรักษา

ระหว่างการรักษานั้นหมอได้ให้ลูกไปพักฟื้นที่ห้องกายภาพ ลูกต้องเจาะสายระโยงระยาง ตามร่างกาย และเจาะที่บริเวณคอ เพื่อสอดสายดูดเสมหะ ระหว่างที่รักษาสายที่เจาะคอนั้นได้แทงเข้าไปโดนแผลผ่าตัด ทำให้เลือดไหลเต็มหน้าลูกชาย หมอและพยาบาลได้เข้ามาดู และบอกว่าให้ทำใจลูกคงไม่รอด และได้นำตัวลูกเข้าห้องฉุกเฉินเพื่อผ่าตัด หลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นหมอได้ออกมาบอกกับตนว่าลูกรอดชีวิต รวมการผ่าตัดทั้งหมดที่ผ่านมา 14 ครั้ง ตนมองว่าคือความอัศจรรย์ ลูกชายมีชีวิตและใช้ชีวิตจนถึงปัจจุบันอย่างปกติดี โดยไม่เจ็บป่วยอีกเลย