จากกรณีเยาวชนและวัยรุ่นชาย รวม 7 คน อายุตั้งแต่ 14-22 ปี ได้ล่อลวง ด.ญ.เอ วัย 13 ปี ไปรุมโทรมในห้องน้ำโรงเรียน ซึ่งหนึ่งในผู้ต้องหา คือเด็กผู้ชาย อายุ 16 ปี เป็นแฟนของ ด.ญ.เอ ที่เป็นคนแชตล่อลวง
วันที่ 31 ธ.ค. 61 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงเรียนที่เกิดเหตุ
นายสมจิต นักการภารโรงของโรงเรียน พาทีมข่าวสำรวจบริเวณห้องน้ำที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ด้านหลังอาคารเรียน บริเวณพื้นภายในห้องน้ำ พบร่องรอยดินโคลนอยู่ และยังไม่ได้มีการทำความสะอาด ทั้งนี้ พบกล่องใส่ถุงยางอนามัยที่ถูกแกะใช้แล้วจำนวน 1 กล่อง ตกอยู่บริเวณข้างกำแพงโรงอาหาร ใกล้กับห้องน้ำที่เกิดเหตุ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่ที่ได้เก็บถุงยางที่มีคราบอสุจิติดอยู่ไปเป็นหลักฐานก่อนหน้านี้แล้ว
นายสมจิต ระบุว่า คืนที่เกิดเหตุตนเองก็มาเข้าเวรที่โรงเรียนตามปกติ แต่ช่วงเกิดเหตุก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว ประกอบกับมีฝนตกหนัก จึงไม่ได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ หรือเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ไม่คาดคิดว่าจะมาเกิดเหตุลักษณะดังกล่าวในโรงเรียน ถึงแม้ว่าผู้เสียหาย หรือผู้ก่อเหตุไม่ได้เรียนอยู่ในโรงเรียน แต่ก็สร้างความเสื่อมเสียให้กับโรงเรียน
ขณะที่
นางสุ (นามสมมติ) อายุ 43 ปี แม่ของ ด.ญ.เอ เปิดใจว่า หลังเกิดเหตุ ลูกของตนก็อยู่ในอาการซึมและนิ่งเฉย ไม่ค่อยพูดกับใคร ไม่ร่าเริงเหมือนเดิม และหลังเกิดเหตุ คนร้ายแค่บางคนเท่านั้นที่มายกมือไหว้และขอโทษที่โรงพัก แต่เมื่อตนถามว่าทำไมไม่ช่วยกันห้าม ก็เอาแต่เงียบและไม่พูดอะไร นอกจากนี้ ยังมีญาติของผู้ก่อเหตุที่ขึ้นโรงพักมาด่าตนว่าลูกของตนนิสัยไม่ดี อยากจะไปกับผู้ชาย จึงถูกรุมโทรมเช่นนี้ ซึ่งตนก็อยากถามว่า ใครบ้างที่อยากให้ลูกถูกรุมข่มขืนแบบนี้ และอยากถามกลับว่า หากคุณมีลูกผู้หญิง จะอยากให้ลูกถูกกระทำแบบนี้ไหม ซึ่งตนรู้สึกโกรธแค้นแต่ทำอะไรไม่ได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ที่ได้ประกันตัว ตนก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับกระบวนการว่าเหตุใดคนร้ายจึงได้รับการประกันตัว แต่ตนกลัวว่าคนร้ายจะย้อนกลับมาทำร้ายลูกของตนอีก อีกทั้งหลังคนร้ายทั้ง 3ได้รับการประกันตัว ก็ไม่เคยติดต่อเพื่อเยียวยาหรือขอโทษครอบครัวของตน
นางสุ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ตนไม่รู้ว่าลูกคบหากับแฟนหนุ่ม อายุ 16 ปี แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่นที่จะคบหากัน และตนก็ไม่เคยต่อว่าหากลูกจะมีแฟน แต่เพียงต้องการให้มีคนเดียว ไม่ใช่มารุมโทรมกัน 7 คนแบบนี้ และตนไม่คิดว่าแฟนของลูกคนนี้จะเป็นคนล่อลวงลูกสาวตนให้เพื่อนรุมโทรม หลังเกิดเรื่องดังกล่าวตนรู้สึกอับอายคนในหมู่บ้านมาก เพราะตลอด 2-3 วัน ที่ผ่านมา มีแต่คนมาถามตนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกสาว ตนก็ได้แต่หลบหน้าไปทำไร่ทำสวนเพราะไม่อยากตอบคำถาม และไม่อยากเจอเรื่องแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้ตนก็ได้แต่เก็บเรื่องทั้งหมดไว้คนเดียว ไม่กล้าบอกญาติพี่น้องเพราะความอับอาย
นางสุ พูดทั้งน้ำตาว่า ตนกลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม และต้องการความช่วยเหลือ เพราะตนก็เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ไม่มีปัญญาจะไปจ้างทนาย ตนต้องนอนร้องไห้ทุกคืนตั้งแต่เกิดเรื่อง เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็รู้สึกจุกในอกจนพูดไม่ออก ตนสอนลูกว่าการไปกับผู้ชายกลางคืนมันเป็นเรื่องไม่ดี ลูกก็ตอบตนว่าจะไม่ทำอีกแล้ว แต่ตนจึงได้แต่โทษตัวเองที่เลี้ยงลูกสอนลูกไม่ดี จนต้องเป็นเหตุเช่นนี้
ญาติของ ด.ญ.เอ ให้ข้อมูลว่า วันเกิดเหตุนายเบนซ์มารับน้องเอที่บ้าน โดยบอกว่าจะพาไปเที่ยว และพาไปที่โรงเรียนที่เกิดเหตุ ห่างจากบ้านไปประมาณ 15 กิโลเมตร เมื่อไปถึงก็พบว่าเพื่อนของนายเบนซ์ประมาณ 6 คน นั่งเล่นกันอยู่ที่โรงอาหาร ซึ่ง ด.ญ.เอ ไม่รู้จักเพื่อนของนายเบนซ์แม้แต่คนเดียว หลังจากนั้น นายเบนซ์ก็ได้ชักชวน ด.ญ.เอ ไปมีเพศสัมพันธ์กันในห้องน้ำชาย ห่างจากโรงอาหารประมาณ 10 เมตร ซึ่งนายเบนซ์ได้ใส่ถุงยางขณะร่วมเพศด้วย
หลังจากนั้น เวลาเวลาประมาณ 22.00 น. นายเบนซ์ก็เรียกให้เพื่อน 6 คน ที่นั่งเล่นอยู่ที่โรงอาหาร เข้ามารุมโทรม ด.ญ.เอ ทีละคน ซึ่งเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงที่ถูกข่มขืนอยู่ในห้องน้ำ โดยที่ ด.ญ.เอ ไม่กล้าร้องโวยวาย เพราะกลัวถูกฆ่า และขณะนั้นมีฝนตกหนัก และคงไม่มีใครได้ยินเสียงร้อง อีกทั้งคนที่เข้ามาข่มขืนขู่ว่า "ถ้าไม่ยอมร่วมเพศด้วย ก็จะไม่ส่งกลับบ้าน" ขณะนั้นจึงต้องยอมให้ผู้ชายหลายคนเข้ามาข่มขืน พบว่ามีทั้งคนที่สวมถุงยางและไม่สวมถุงยาง จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาตรวจสอบ และพบว่า ด.ญ.เอ กำลังถูกรุมโทรมอยู่พอดี จึงได้ควบคุมกลุ่มผู้ก่อเหตุไว้ได้ทั้งหมด
นายจ่อย (นามสมมติ) พ่อของนายเบนซ์ ผู้ก่อเหตุ เปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุ ตนเพิ่งมารู้ว่าลูกถูกจับเวลา 03.00 น. ซึ่งลูกชาย บอกว่าฝ่ายหญิงทักแชตให้ลูกตนไปรับ ตนไม่รู้มาก่อนเลยว่าลูกตนจะไปชักชวนเพื่อนไปรุมโทรมฝ่ายหญิง ตนทั้งตกใจและเสียใจที่ลูกกล้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะลูกก่อเหตุไปแล้ว จึงได้แต่นั่งเสียใจ เพราะก่อนเกิดเหตุเพียง 1 วัน (27 ธ.ค. 61) ภรรยาของเบนซ์ก็เพิ่งคลอดลูก และยังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หลังภรรยาทราบข่าวก็เสียใจและรีบออกจากโรงพยาบาลทั้งที่แผลคลอดยังไม่หาย เพื่อไปเยี่ยมเบนซ์ที่โรงพัก แต่เมียของเบนซ์ก็โกรธเบนซ์มากเช่นกัน
นายจ่อย กล่าวต่อว่า ขณะนี้นี้สภาพจิตใจของตน แม่เลี้ยง และเมียของเบนซ์ ย่ำแย่หมดทั้งบ้าน เพราะไม่คิดว่าเบนซ์จะกล้าทำเรื่องแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้เบนซ์เป็นคนขยันและช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานหาเงินตลอด เริ่มทำงานตัดอ้อยตั้งแต่เรียนประถมซึ่งเป็นคนมีพฤติกรรมดี แต่เพิ่งมาทำเรื่องไม่ดีเมื่อ 1 ปี ที่ผ่านมาเท่านั้น ซึ่งตนก็ไม่อยากตำหนิใครว่าเป็นคนชักนำลูก
อย่างไรก็ตาม เบนซ์ก็ยอมรับสารภาพทั้งหมด ตนรู้ว่าลูกตัวเองทำผิด หากต้องติดคุกตนก็ต้องทำใจให้ได้ นอกจากนี้ หากฝ่ายผู้เสียหายขอค่าเยียวยา ตนก็คงต้องหาเงินมาใช้ให้ แม้ว่าจะเป็นคนหาเช้ากินค่ำแต่ก็ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ลูกของตัวเองทำลงไป แต่ขณะนี้ตนยังไม่ได้พูดคุยหรือขอโทษกับครอบครัวผู้เสียหาย
อ.แย้ม (นามสมมติ) ครูของโรงเรียนที่เกิดเหตุ เปิดเผยว่า นายเบนซ์เคยเรียนอยู่ที่โรงเรียนที่เกิดเหตุ โดยตนเคยสอนนายเบนซ์ ตั้งแต่เขาเรียนประถม 1-6 ซึ่งตอนนั้นเขาก็ดูเป็นเด็กดี ไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าวและเป็นเด็กดีตลอด และเป็นคนว่านอนสอนง่าย แต่หลังจากจบการศึกษา จึงทราบว่าเรียนไม่จบ และตนก็ไม่รู้ว่าเด็กไปเจอสังคมแบบไหน และคบกับคนแบบไหน จึงกลายเป็นคนที่กล้าก่อเหตุน่าสลดแบบนี้ หลังตนทราบข่าวก็ตกใจมาก เพราะเป็นโรงเรียนที่ตนสอนอยู่ และเป็นโรงเรียนที่นายเบนซ์เคยเรียน ซึ่งนายเบนซ์เองคงรู้ว่าหลังเลิกเรียน โรงเรียนมีสภาพค่อนข้างเปลี่ยว กลางคืนไม่มีคนผ่านไปมา อีกทั้งไม่มีกำแพง สามารถเดินเข้าจากทิศทางไหนก็ได้
อ.แย้ม บอกอีกว่า รู้สึกผิดหวังในตัวนายเบนซ์มาก และเสียใจกับสิ่งที่เขาทำ แต่คิดว่าอาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อม ทำให้เป็นเช่นนี้ อีกทั้ง คาดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กมีปัญหา เนื่องจากผู้ปกครองหย่าร้าง อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของนายเบนซ์ค่อนข้างยากจน พ่อมีอาชีพตัดอ้อยและคิดว่าคงไม่มีเงินสู้คดี ซึ่งตนก็สงสารทั้งนายเบนซ์และผู้หญิงที่ถูกรุมโทรม แต่ก็ต้องปล่อยไปตามกระบวนการของกฎหมาย