จากกรณีเมื่อคืนที่ 26 มกราคม 2565 เวลาประมาณ 20.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หัวโทน จ.ร้อยเอ็ด รับแจ้งเหตุฆ่ากันตายที่บ้านพักหลังหนึ่ง ภายในพื้นที่ หมู่ 7 บ้านโนนหมากแงว ต.น้ำคำ อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบร่าง นายวิชาญ วงษ์ทวี หรือ กุ้ง อายุ 38 ปี นอนหงายจมกองเลือดอยู่ที่พื้นใต้ถุนบ้าน ใกล้กันเป็นม้านั่งเปื้อนเลือด
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่แพทย์เวรพยายามปั๊มหัวใจช่วยชีวิตแล้ว แต่ไม่สามารถยื้อเอาไว้ได้ เนื่องจากเมื่อมีการชันสูตรพลิกศพพบสภาพเลือดออกปากและจมูก มีแผลฉีดขาดบริเวณใบหู ส่วนผู้ก่อเหตุคือลุงของผู้ตาย ทราบชื่อ นายนที ศรีนัตนพันธ์ หรือ สำลี อายุ 65 ปี ซึ่งหลังก่อเหตุเขาก็ยืนรอมอบตัวกับตำรวจทันที
วันที่ 27 มกราคม 2565 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีเดินทางไปยังบ้านที่เกิดเหตุ จัดเป็นสถานที่บำเพ็ญกุศลศพ นายรุ่งทิวา ใยคำ หรือ หรั่ง อายุ 56 ปี ชาวบ้านฝั่งตรงข้ามที่ได้ยินเสียงทั้งคู่ทะเลาะกัน บอกว่า บ้านที่เกิดเหตุเป็นบ้านของนายนที ผู้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้ว ปัจจุบันนายนทีอาศัยอยู่ที่บ้านคนเดียว ไม่มีครอบครัว มีลักษณะตุ้งติ้ง มีหลานคือนายวิชาญ ผู้ตายที่ทำงานเป็นลูกเรือประมงอยู่ จ.สมุทรสาคร แวะเวียนมาบ้าง เขาเลี้ยงดูกันมาตั้งแต่เด็ก
ซึ่งทุกครั้งที่นายวิชาญกลับมาบ้านหลังนี้ มักจะดื่มสุราจนเมา แล้วชอบหาเรื่องนายนทีอยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องมรดกบ้านและที่ดินที่อาศัยอยู่ เหตุเพราะคนเป็นลุงไม่ยอมแบ่งขายเอาเงินมาแบ่งกัน เนื่องจากลุงอยากให้อาศัยอยู่ร่วมกัน เพื่อกลับมาบ้านช่วงเทศกาลก็จะได้มีที่พักอาศัย กระทั่งวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 18.30 น. ขณะที่นายนทีกำลังเดินอยู่หน้าบ้าน หลังกลับจากไปเอาฟืนเพื่อจะนำกลับมาก่อไฟประกอบอาหาร นายวิชาญที่ดื่มสุราเมากลับมาบ้านเอะอะโวยวาย เอาไม้ฟืนตีเข้าตีที่บ่าลุงหลายครั้ง จนลุงต้องวิ่งหนี แล้วเหตุการณ์ก็สงบไป
จนกระทั่งเวลาประมาณ 19.00 ขณะที่นายนทีกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนใต้ถุนบ้าน ตอนนั้นนายวิชาญก็เมากลับมาอีก เอะอะโวยวาย เอาไม้ฟืนไปตีหลอดไฟในบ้านจนแตก ทำให้ไฟใต้ถุนบ้านดับและมืดไปหมด นายนทีไม่พอใจ บวกกับเป็นคนตาไม่ดีอยู่แล้ว จึงหยิบไม้ไผ่ขนาดวาครึ่งเพื่อพยุงตัวจะขึ้นไปเสียบปลั๊กไฟอีกดวงที่บนบ้าน แต่นายวิชาญก็วิ่งเข้าไปหานายนทีที่กำลังเดินขึ้นบันใด แล้วดึงให้ลงมา ทำให้ผู้ก่อเหตุฟาดด้วยด้วยไม้ไผ่ไปจนผู้ตายล้มลง จังหวะผู้ก่อเหตุก็เหลือบไปเห็นไม้ที่ตัดมากอง ๆ ไว้เป็นฟืน จึงคว้ามากระหน่ำตีใส่ผู้ตายอย่างไม่ยั้งมือ จนคนเป็นหลานแน่นิ่งไป ตอนนี้ตนนั่งอยู่ในบ้านยังได้ยืนเสียงดังจากการทุบตีหลายครั้งมาก แต่คิดว่าเป็นเสียงผู้ก่อเหตุทุบหมอน จนกระทั่งได้เดินมาดู ถึงรู้ว่าฆ่ากันจนตายแล้ว
ทีมข่าวเดินทางไปยัง สภ.หัวโทน จ.ร้อยเอ็ด นายนที ศรีนัตนพันธ์ หรือ สำลี อายุ 65 ปี ผู้ก่อเหตุ หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล และเบื้องแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และจะนำตัวไปฝากขังวันพรุ่งนี้ เปิดใจว่า เหตุผลที่ฟาดหลานจนตาย เพราะโมโหและบันดาลโทสะ เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ตายเมาแล้วชอบทำร้ายร่างกายตนหลายอย่างทั้งทุบตี ทำหน้าทำตายียวนกวนบาทาทุกวันที่เจอกัน แถมยังขู่จะฆ่าตนประจำด้วย
ตนก็พยายามเตือนแล้วว่าอย่าทำแบบนั้น เพราะตัวเองตาไม่ดี เดินก็ไม่ค่อยจะไหว ไม่อยากโต้ตอบ กลัวว่าจะสู้แรงไม่ไหว จึงปลีกตัวออกไปเล่นกับหมา หาอะไรทำไปเรื่อย เพื่อที่จะไม่ได้ปะทะกับหลานคนนี้ แล้วเหตุการณ์ครั้งนี้ตลอด 2 วัน 3 คืนที่หลานมานอนที่บ้าน หลานเมาทุกคืนแล้วก็มีการเตรียมตัวจะฆ่าตนตลอด บอกว่า "ยังไงมึงก็ต้องตาย" จนกระทั่งวันเกิดเหตุ หลานก็เดินเมาเข้ามาในบ้าน แล้วเอาไม้ตีหลอดไฟให้แตกเพื่อจะฆ่าตน ขณะที่ตนกำลังขึ้นบันไดเพื่อไปเปิดไฟบนบ้าน หลานก็เดินมาแล้วดึงตนพร้อมกับบอกว่า "คืนนี้มึงต้องตายให้ได้" ถ้าตนไม่ป้องกันตัว ตนอาจจะตายได้ จึงตีไปประมาณ 10 กว่าครั้ง แต่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเอาให้ถึงตาย ตอนแรกกะไว้ว่าแค่สั่งสอนให้เข็ดหลาบเท่านั้น
สุดท้ายสังคมที่กำลังมองว่าตนทำเกินไป อยากบอกว่าเลี้ยงหลานคนนี้ต่อให้เลี้ยงดียังไงมันก็ไม่สำนึกบุญคุณ วัน ๆ เอาแต่หาเรื่อง จ้องจะฆ่าทุกวัน เพราะฉะนั้นตนจำเป็นต้องป้องกันตัว และในเมื่อมันมาถึงจุดหนึ่งที่ตนทนไม่ไหว ต่อให้ตายก็ต้องตายไปฝั่งหนึ่ง
ด้านนางตาล วงษ์ทวี อายุ 56 ปี แม่ของคนตาย เดินทางมาจาก กทม. พร้อมกับน้องสาว เพื่อจัดงานศพให้ลูก ทั้งคู่ได้มีการจุดธูปบอกดวงวิญญาณของนายวิชาญเพื่อขอให้ไปสู่สุคติ ไปอยู่บนสวรรค์ บอกว่า "แม่รักลูก แม้ว่าลูกจะไม่ได้เป็นคนดีให้แม่ แต่ก็ไม่เคยสร้างความเดือดร้อน เสียใจมากแต่ก็ไม่อยากให้ลูกจองเวรกรรมอะไรกับลุงผู้ก่อเหตุ"
นางตาล บอกว่าที่วันนี้ไม่เห็นรูปหน้าศพเพราะตนไม่มีรูปของลูกตอนโต บัตรประจำตัวประชาชนเขาก็หายไป 2-3 ปีแล้ว ยังไม่ได้ทำใหม่ และลูกก็ไปทำงานไกลแม่ นานครั้งจะกลับมา จึงไม่ค่อยได้ถ่ายรูปไว้ มีเพียงรูปตอนลูกชายอายุ 10 ขวบรูปเดียวเท่านั้น ที่ตนเก็บติดตัวไว้ตลอด วันนี้ก็นำมาจาก กทม. ด้วย
ส่วนกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ตนยอมรับว่าตกใจจนเป็นลมเหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าพี่ชายจะทำกับลูกตนจนตายแบบนี้ และใจหนึ่งก็ไม่ได้ติดใจอะไรเลยสักนิด เพราะตนรู้จักนิสัยของลูกชายดี ลูกชายชอบกินเหล้ามาโดยตลอด เมาทุกครั้งที่เจอกัน แต่อย่างหนึ่งที่ตนภูมิใจในตัวลูก แม้ว่าลูกจะไม่ใช่คนดี แต่เขาก็ไม่เคยสร้างหนี้ สร้างความเดือดร้อนให้แม่ เขาจะพึ่งพาตัวของเขาเองเสมอ
ส่วนกับผู้ตายก็ถือว่าเป็นพี่ชายตน เป็นคนดีคนหนึ่ง ที่สำคัญคือเขาเลี้ยงลูกชายตนมาตั้งแต่เล็กจนโต เชื่อว่าลูกชายน่าจะเมาแล้วไประรานเขาก่อน คนเรามันมีขีดจำกัด คาดว่าผู้พี่ชายน่าจะโมโหจึงตัดสินใจก่อเหตุแบบนั้นไป กลับกันคือตนสงสารพี่ชายมากที่โดนจับในขณะที่อายุเยอะ จึงทำใจไว้เลยว่าพี่ชายคงต้องตายในคุกแน่นอน เนื่องจากลำพังตัวเองไม่มีเงินประกันตัว พี่น้องก็ไม่มีทรัพย์สินอะไรเลย มีแค่บ้านหลังนี้ที่เป็นมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่ ก็อยากเก็บไว้ให้ลูกหลาน
สุดท้ายตนก็คอยดวงวิญญาณของลูกไปสู่ภพภูมิที่ดี หมดเวรหมดกรรม ขออโหสิกรรมให้ทุกอย่าง แม่รักลูกมาก และกับตัวผู้ก่อเหตุนั้น ตนก็อยากบอกว่าให้ทำใจสบาย ๆ ขอขมากับสิ่งที่ลูกตนทำไว้ในอดีตด้วย