จากกรณี นายฝน ชายสติไม่ดีในหมู่บ้าน ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีพรากผู้เยาว์ เด็กชายซูลุยผิว หรือ น้องต้าแง อายุ 2 ขวบ สัญชาติเมียนมา ซึ่งพลัดหลงในไร่อ้อย จนกระทั่งพบว่าเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยกลุ่มชาวบ้านไม่เชื่อว่านายฝนจะมีส่วนเกี่ยวข้อง จนเป็นเหตุให้น้องต้าแงเสียชีวิต (อ่าน :
ทนายอนันต์ชัย โดดช่วยคนบ้าคดี “ซูลุยผิว” - คนใบ้ซี้ “ฝน” ปัดเอี่ยวพาเด็กหาย)
วันที่ 4 ม.ค.62
นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ เผยว่า ตนขอแก้ข่าวให้กับนายฝน เนื่องจากมีคนบางกลุ่มบอกว่านายฝนเป็นคนบ้า ซึ่งนายฝนเป็นเพียงบุคคลที่มีพัฒนาการทางสมองช้า หรือที่เรียกกันว่า “โรคออทิสติก” และถือเป็นคนพิการ ซึ่งคนที่เป็นโรคนี้มักจะไม่กล้าพูดและสบตา และผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาเป็นระยะ แต่ถ้าหากไม่ได้รับการพัฒนา อายุสมองก็จะถดถอย อย่างที่ตำรวจบอกว่า นายฝนมีอายุประมาณ 32 ปี แต่การพูดคุยเหมือนเด็ก 5 ขวบ แสดงให้เห็นว่า พัฒนาการของนายฝนนั้นถดถอยลง เนื่องจากไม่มีคนคอยฝึกพัฒนาการด้านสมองและร่างกาย ซึ่งหากมีบุคคลใดไปถามชี้นำ คนกลุ่มนี้ก็จะเชื่อและตอบแบบนั้น
ทนายอนันต์ชัย กล่าวอีกว่า ส่วนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาเผยว่าการสอบสวนมีนักจิตวิทยาร่วมอยู่ด้วยนั้น ในหลักความจริงอาจต้องสอบถามที่มีความชำนาญในเรื่องโรคออทิสติกมากกว่า และผู้เชี่ยวชาญก็คงจะบอกว่าคนกลุ่มนี้ไม่สามารถให้การที่น่าเชื่อถือได้
โดยในวันอาทิตย์นี้ (6 ม.ค.) ตนจะเดินทางไป จ.สุพรรณบุรี เพื่อพูดคุยกับครอบครัวและพยาน เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง หลังจากพูดคุยแล้ว ตนก็จะให้การช่วยเหลือ โดยในการช่วยเหลือคือยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อศาลจังหวัดสุพรรณบุรี โดยไม่มีหลักประกัน แต่จะให้กำนันผู้ใหญ่บ้าน หรือชาวบ้านล่ารายชื่อ ขอปล่อยตัวนายฝนชั่วคราว โดยช่วงเช้าของวันนี้ ครอบครัวนายฝนได้โทรศัพท์มาบอกตนว่าวันนี้ จะเข้าไปเยี่ยมนายฝนที่บ้านพักสถาบันกัลยา ซึ่งจากการฟังน้ำเสียงของครอบครัวน้ำฝนก็รู้สึกได้ว่ามีความหวังขึ้น
ทนายอนันต์ชัย กล่าวว่า ส่วนประเด็นเรื่องหากว่านายฝนไม่ได้กระทำความผิดจะฟ้องกลับตำรวจหรือไม่นั้น ตนคาดว่า การฟ้องคงเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากนายฝนเป็นคนพิการ และไม่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลว่าเป็นบุคคลไร้ความสามารถจึงฟ้องร้องได้ยาก รวมถึงมองว่าชาวบ้านอาจไม่กล้าไปต่อกรกับข้าราชการ
ท้ายนี้
ทนายอนันต์ชัย เปรียบเทียบว่า ขณะนี้เหมือนนายฝนอยู่ในอุโมงค์ที่ไม่มีแสงเทียนคอยส่องสว่างนำทางเดิน แต่ตนกำลังจะจุดเทียนให้นายฝนก้าวพ้นออกจากอุโมงค์นั้นออกมา และตนทำงานก็จะทำให้จบ เพราะต้องตอบข้อสงสัยในหลายเรื่องของประชาชนให้ได้ว่านายฝนผิดจริงหรือไม่
ด้าน
นายอำนาจ จุ้ยทรัพย์ หรือ อ๊อด คนใบ้เพื่อนสนิทนายฝน และ
นางสุนทร จุ้ยทรัพย์ มารดา เปิดเผยว่า ตนไม่เชื่อว่านายฝนจะพาเด็กไปที่ไร่อ้อย และเท่าที่รู้จักกับนายฝนมา นายฝนมักจะชอบอยู่ที่วัด เพื่อคอยล้างจาน และตีกลองเพลเป็นประจำ วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 16.00 น. นายฝนยังมาชักชวนให้ตนไปตลาดด้วยกัน แต่ตนไม่ได้ไป นายฝนจึงปั่นจักรยานออกไปตลาดนัดคนเดียว
ส่วนของเล่นเด็กที่เป็นรถสีส้มนั้น ยืนยันได้ว่านายฝนไม่เคยมีของเล่นดังกล่าว และอีกฝ่ายจะเล่นดีดหนังสติ๊กเท่านั้น
นอกจากนี้
นายอ๊อด สื่อสารว่า วันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาควบคุมตัวนายฝนไปนั้น นายฝนมาซื้อน้ำอัดลมที่ร้านค้า ส่วนตนกำลังนอนเปลอยู่บริเวณหน้าร้าน รถของเจ้าหน้าที่ตำรวจขับขี่มาจากเส้นทางวัดนันทวัน เมื่อมาถึงก็เดินลงจากรถด้วยกันจำนวน 4 คน เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นนายฝนกับจักรยาน ก็ลงมาดึงกระชากคอเสื้อให้นายฝนขึ้นรถไปด้วย ก่อนจะเอารถจักรยานขึ้นท้ายรถตามไป โดยตอนนั้นนายฝนไม่ได้มีท่าทีขัดขืน ตนคาดว่าคงไม่รู้เรื่องว่าตำรวจจะพาไปไหน
ทั้งนี้ ตนคิดว่าในกลุ่มตำรวจ 4 คน อาจมีตำรวจที่รู้จักกับนายฝนอยู่บ้าง เพราะเขาเคยไปบีบนวดให้ตำรวจเหมือนกัน ทำให้นายฝนไม่ตกใจที่ถูกดึงตัวไป และในวันนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีการใส่กุญแจมือไป ซึ่งตอนนั้นตนก็ยังไม่รู้ว่าเขาเอานายฝนไปไหน