กรณีญาตินายอภิชาต พูลเผือก หรือ เสี่ยก้อง อายุ 39 ปี เจ้าของธุรกิจร้านเกาลัดชื่อดัง โวยกลางงานเผาศพพร้อมตะโกนด่าทอนางสาวแหม่ม เพื่อนสาวคนสนิทของเสี่ยก้อง ภายในพิธีเผาศพของเสี่ยก้อง บริเวณเมรุวัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี
หลังจากที่ญาติและเพื่อนสนิทของเสี่ยก้อง ได้เห็นคลิปวิดีโอจากกล้องหน้ารถ ซึ่งบันทึกภาพเหตุการณ์วันที่เสี่ยก้องประสบอุบัติตกจากรถยนต์กระบะ ที่มีนางสาวแหม่มเป็นคนขับได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2565 ก่อนจะเสียชีวิตที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 25 มกราคม ที่ผ่านมา
ล่าสุด วันที่ 1 ก.พ.65 นางสาวเเหม่ม และนายเจฟ น้องชาย เข้าพบทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ เพื่อขอคำปรึกษาทางคดี ก่อนจะเเถลงต่อสื่อมวลชน พร้อมกับนำคลิปจากกล้องหลังรถเปิดเผยเป็นหลักฐานสำคัญ หลังเกิดเหตุนางสาวเเหม่มและน้องชาย พยายามให้การช่วยเหลือผู้ตายแล้วนั้น
คลิปจะเห็นนางสาวแหม่ม เดินเข้าไปหาผู้ตายเป็นคนแรก หลังจากนั้นจะเห็นนายเจฟ น้องชาย พร้อมด้วยลูกน้องของผู้ตาย 2 คน คือพระออมกับนายเป้เดินเข้าไปดู จากนั้นนายเจฟได้เดินกลับมาที่รถ ถอยรถไปเพื่อจะยกเสี่ยก้องขึ้นรถ ได้ยินเสียงทุกคนพยายามจะช่วยกันยกตัว พูดว่า "เอาไปโรงพยาบาล" ระหว่างที่กำลังยกก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า "เขาเจ็บขา" ทั้งหมดจึงไม่กล้าเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ ก่อนจะโทรเรียกรถกู้ภัยให้มารับตัวไป
นางสาวเเหม่ม ยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้วางเเผนฆ่าเสี่ยก้อง ก่อนเกิดเหตุบังเอิญไปเจอเสี่ยก้องกับภรรยาอยู่ที่คลินิก จึงจับได้ว่าฝ่ายชายยังไม่เลิกกับภรรยา เเละภรรยายังท้องด้วย จึงเกิดความโมโห ตอนที่คบกันเสี่ยก้องอ้างว่าเลิกกับภรรยาไปเเล้ว ก็ได้มีปากเสียงกันอย่างรุนแรงรอบหนึ่ง ด้วยความโมโหก็ได้ตบหน้าเสี่ยก้องด้วย หลังจากนั้นตนเองก็รีบขับรถออกจากคลินิกทันที ทางเสี่ยก้องก็ขึ้นรถออกมาด้วย ตอนอยู่บนรถมีปากเสียงกันมาตลอดทาง ตนเองจึงเอ่ยปากจะพาเสี่ยก้องไปบ้านภรรยาหลวง เพื่อจะเคลียร์กันให้รู้เรื่อง แต่เสี่ยก้องไม่ยอมไป ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูกระโดดลงจากรถเพื่อประชด
ซึ่งที่ผ่านมาเวลาทะเลาะกัน ผู้ตายมักจะพูดประชดว่าจะกระโดดลงจากรถหลายครั้ง ก็นึกว่าเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อไม่อยากไปเจอภรรยาหลวง หลังจากเกิดเหตุ ตนเองเเละน้องชายพยายามจะช่วยกันอุ้มผู้ตายขึ้นรถเพื่อจะนำส่งโรงพยาบาล เเต่สังเกตเห็นว่าผู้ตายมีอาการบาดเจ็บที่ขาซ้าย จึงไม่กล้าเคลื่อนย้าย เเละได้โทรเเจ้งกู้ภัยให้มารับตัวส่งโรงพยาบาล
ส่วนความเร็วของรถขณะเกิดเหตุ ไม่เกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จังหวะที่ผู้ตายกระโดด เป็นจังหวะที่ตนเองเปลี่ยนเกียร์ ทำให้ดูเหมือนรถพุ่ง แต่ยืนยันว่าไม่มีเจตนาเร่งเครื่อง
"ตนเองรักผู้ตายมาก หลังจากทราบข่าวว่าญาติเข้าแจ้งความก็เสียใจมาก เพราะตลอดระยะเวลาที่คบหากับผู้ตาย มีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวผู้ตายมาโดยตลอด ทุกคนรับรู้ว่าเราคบกัน แต่วันนี้ต้องตกเป็นจำเลยสังคม ถูกกล่าวหาว่าฆ่าสามี หนูจะทำเเบบนั้นไปทำไม เพราะหนูกับเขาก็มีลูกด้วยกัน อยากขอโทษครอบครัวเสี่ยก้อง ยืนยันว่าไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้"
ทางด้านนายเจฟ น้องชายของนางสาวเเหม่ม เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า ก่อนเกิดเกิดเหตุ ทราบว่าพี่สาวมีปัญหากับเสี่ยก้อง จึงตัดสินใจขับรถตาม เพราะกลัวจะมีเหตุการณ์ไม่ดี โดยในรถมีเพื่อนชื่อเป้ และพระออม ซึ่งเป็นลูกน้องของเสี่ยก้องนั่งไปในรถด้วย กระทั่งถึงจุดเกิดเหตุ เห็นเสี่ยก้องกระโดดลงจากรถ ตนเองทราบดีว่าเสี่ยก้องเป็นคนชอบเรียกร้องความสนใจ ตอนเเรกคิดว่าเป็นการเเกล้งเจ็บ เนื่องจากในอดีตตนเองเคยกระโดดลงจากรถเมล์ แต่ก็ยังไม่เป็นอะไร จึงหลุดคำพูดไม่เหมาะสมออกไป แต่หลังจากนั้นก็ลงไปช่วยเหลือ ไม่ได้ทิ้ง
ซึ่งตอนนี้เครียดมากจนนอนไม่หลับ ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาจะให้เขาเสียชีวิต เพราะตนเองรักผู้ตายเหมือนพี่ชายแท้ ๆ ไปเที่ยวด้วยกันเป็นประจำ นอกจากนี้กังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะญาติของผู้ตายยังโกรธเเค้น "อยากบอกว่าขอโทษ ผมไม่ได้ทำให้เขาตาย"
ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ บอกว่า การที่ญาติผู้ตายจะกล่าวหานางสาวเเหม่ม หรือต้องการดำเนินคดีก็ถือเป็นสิทธิ์ แต่นางสาวแหม่มก็มีสิทธิ์ที่จะสู้คดีเช่นกัน สำหรับหลักฐานในทางคดีคือคลิปที่ผู้ตายตกลงจากรถ ชัดเจนแล้วว่ากระโดดลงจากรถเอง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว คาดว่าคงไม่ถึงขั้นเป็นคดีความ แต่ถ้าหากเป็นคดี ตนเองก็รับเป็นที่ให้คำปรึกษาทางกฎหมาย
นายศุภพงษ์ จันดา อายุ 28 ปี และนายบุรเศรษฐ์ นิชาพิริยพงษ์ อายุ 31 ปี เพื่อนเสี่ยก้อง เล่าว่า วันเกิดเหตุ 22 ม.ค. เวลา 20.00 น. ตนเข้าไปเยี่ยมเสี่ยก้องที่โรงพยาบาล โดยนายเจฟ น้องของ น.ส.แหม่ม เดินมาบอกว่าเสี่ยก้องกระโดดลงจากรถเอง และมีคลิปหลักฐานจากกล้องหน้ารถ ตนจึงอาสาเปิดกล้องให้ โดยนำเมมโมรี่การ์ดมาใส่ในมือถือตัวเองแล้วเปิดดู พบว่าเสี่ยก้องกระโดดลงจากรถจริง นายเจฟก็ถ่ายคลิปช่วงตกรถความยาว 16 วินาทีไปยืนยันความบริสุทธิ์ใจกับญาติ
จากนั้นตนได้เซฟคลิปยาว 5 นาทีเอาไว้ เมื่อกลับไปถึงบ้านลองเปิดดู และฟังเสียงรู้สึกเอะใจ จึงส่งคลิปดังกล่าวมาให้ญาติของเสี่ยก้องทันที โดยไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร แต่คิดว่าญาติน่าจะใช้เป็นหลักฐานทางคดีได้
ด้าน น.ส.พภัสสรณ์ ปิ่นจุ หรือ นุ่น อายุ 37 ปี ภรรยาหลวงของเสี่ยก้อง ระบุว่า วันนี้เข้าไปให้ข้อมูล และพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ท่าม่วง ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่าจะรวบรวมพยานหลักฐานและสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง ส่วนตัวยืนยันว่ายังติดใจสาเหตุการตายของสามี เพราะมีข้อสงสัยในพฤติกรรมหลังเกิดเหตุของ น.ส.แหม่ม และ น้องชาย
โดยวันเกิดเหตุเชื่อว่า น.ส.แหม่ม จะพาเสี่ยก้องเข้ามาเคลียร์กับตนที่บ้าน แต่เสี่ยก้องคงไม่อยากเข้ามา เพราะห่วงความรู้สึกของตนกับลูกสาวคนโตวัย 7 ปี งฃดูจากคลิปกล้องหน้ารถ เชื่อว่าสามีมีความตั้งใจว่าจะไม่มา อาจจะพยายามลงจากรถจริง แต่ตนติดใจว่าทำไมต้องเร่งเครื่อง และการที่ไม่ยอมช่วยหลังเกิดเหตุ ตนยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้กลั่นแกล้งอีกฝ่าย หรือมีประเด็นที่ไม่พอใจเกี่ยวกับเมียน้อยเมียหลวง เพราะที่ผ่านมาตนอยู่เฉยมาตลอด เพราะสามีบอกว่าเลิกยุ่งกับ น.ส.แหม่ม แล้ว และเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายมีลูกกับสามีเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ ตนรู้มาว่า หลังน.ส.แหม่มรู้ว่าตนท้อง ก็ทะเลาะกับเสี่ยก้องหนักมาก โดยเฉพาะช่วงก่อนเกิดเหตุ 1 สัปดาห์มีปากเสียงกันทุกวัน
ส่วนกรณีที่ น.ส.แหม่ม เข้าปรึกษาทนายชื่อดังเพื่อตั้งรับ ตนไม่กังวล เพราะทำเต็มที่ในส่วนของตัวเอง มั่นใจในความยุติธรรม นอกจากนี้ตนได้จุดธูปบอกกับสามีว่าให้เปิดทางหากมีหลักฐานเพิ่มเติมก็ขอให้บอก จะได้ไม่ตายฟรี
นายชัชวาล ภุมรินทร์ เจ้าหน้าที่มูลนิธิขุนรัตนาวุธ ระบุว่า รับแจ้งเหตุคนตกลงมาจากรถเวลา 14.40 น. วันที่ 22 ม.ค. หลังรับแจ้งก็รีบจัดชุดอาสาพร้อมรถกู้ชีพไปที่จุดเกิดเหตุทันที เมื่อไปถึงพบว่าผู้บาดเจ็บนอนอยู่ในรถฟอร์จูนเนอร์ นอนแน่นิ่ง หายใจลักษณะคล้ายเสียงกรน มีเลือดออกจากปาก ไม่พบบาดแผล จึงรีบทำการล็อกคอ พร้อมทำการเคลื่อนย้ายขึ้นรถกู้ชีพ และทำการปั๊มหัวใจบนรถ จนถึงโรงพยาบาล
ซึ่งจากการประเมินเบื้องต้นพบว่าคนเจ็บอาการหนัก คาดว่าได้รับการกระทบกระเทือนเกี่ยวกับสมอง แต่ตนก็ไม่ได้สอบถามรายละเอียดจากญาติว่าเกิดอะไรขึ้น