จากกรณี นายฝน ชายสติไม่ดีในหมู่บ้าน ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีพรากผู้เยาว์ เด็กชายซูลุยผิว หรือ น้องต้าแง อายุ 2 ขวบ สัญชาติเมียนมา ซึ่งพลัดหลงในไร่อ้อย จนกระทั่งพบว่าเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยกลุ่มชาวบ้านไม่เชื่อว่านายฝนจะมีส่วนเกี่ยวข้อง จนเป็นเหตุให้น้องต้าแงเสียชีวิต ต่อมา นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ ได้บอกว่าจะเข้ามาช่วยเหลือคดีนี้ (อ่าน :
เปิดใจคนใบ้ คู่ซี้ “ฝน” เผยนาทีตร.บุกจับ ไม่เชื่อใช้ของเล่นลวงฆ่า “ซูลุยผิว” พกแต่หนังสติ๊ก)
วันที่ 6 ม.ค. 62
นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ เดินทางมาที่วัดนันทวัน ต.สระพังลาน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เพื่อพูดคุยกับนายสมจิตร ชิมมา บิดาของนายฝน ผู้ป่วยออทิสติกพร้อมกับครอบครัว และพูดคุยกับพระลูกวัด และนายอำนาจ จุ้ยทรัพย์ หรือ อ๊อด คนใบ้เพื่อนสนิทนายฝน และนางสุนทร จุ้ยทรัพย์ มารดา โดยบรรยากาศในการพูดคุยในวันนี้ มีประชาชนในละแวกใกล้เคียงเดินทางมาร่วมสังเกตการณ์ทนายอนันต์ชัยในการทำคดีดังกล่าวด้วย
ทนายอนันต์ชัย กล่าวว่า วันนี้ตนลงพื้นที่เกิดเหตุ พบว่า ระยะทางจากวัดนันทวันไปถึงจุดที่เด็กชายซูลุยผิว หรือน้องต้าแงนั่งเล่นอยู่นั้น มีระยะทางประมาณ 1.8 กิโลเมตร และจากจุดที่น้องต้าแงนั่งเล่นไปถึงจุดที่พบศพเด็กก็ประมาณ 1.6 กิโลเมตร อีกทั้งเมื่อเริ่มเข้าสู่ป่าอ้อย ทางก็เริ่มคดเคี้ยว ตนจึงตั้งข้อสังเกตว่าผู้ที่จะเข้ามาในป่าอ้อยต้องเป็นชำนาญทาง มิเช่นนั้นเวลาเดินก็อาจจะผลัดหลงได้
ทนายอนันต์ชัย เล่าต่อว่า แต่เมื่อผลการตรวจสอบออกมาว่านายฝนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ตนจึงต้องการอธิบายให้ทุกคนทราบว่า นายฝนไม่ใช่คนบ้าและไม่ใช่คนวิกลจริต แต่นายฝนถือเป็นคนพิการ โดยตนเพิ่งทราบว่า นายฝนมีบัตรประจำตัวคนพิการ ซึ่งครอบครัวเพิ่งพาไปทำเมื่อปี พ.ศ.2557 โดยส่วนตัวเชื่อว่านายฝนเป็นผู้ป่วยออทิสติกจริง ทำให้คำพูดของนายฝนเวลาให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่สามารถเชื่อถือได้
นอกจากนี้ จากการที่ตนพูดคุยกับพ่อของนายฝนก็ทราบมาว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พานายฝนไปที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ถามชี้นำนายฝน นั้นตนคิดว่า พนักงานสอบสวนประเทศไทยเก่ง เพราะสามารถสอบสวนผู้ป่วยออทิสติกได้อย่างเข้าใจ แต่ส่วนตัวว่าการเอามาเป็นผู้ต้องหานั่นไม่ใช่อย่างแน่นอน และตนอยากฝากบอกไปถึงพนักงานสอบสวนทุกคนว่า ใครก็ตามที่มาใส่ร้ายนายฝน ถ้านายฝนไม่ได้กระทำความผิด ระวังกรรมจะตามทัน และเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวถือเป็นบาปมหันต์ที่มาแกล้งคนบริสุทธิ์
นอกจากนี้ ในวันพุธที่ 9 ม.ค. ตนจะพาครอบครัวของนายฝนเดินทางไปร้องขอความเป็นธรรมที่กองบังคับการปราบปราม และที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้มีการสอบสวนคดีนี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับนายฝน และภายในวันศุกร์ที่ 11 ม.ค. จะมีการยื่นขอประกันตัวนายฝน
ส่วนหากผลสรุปออกมาว่านายฝนไม่ได้กระทำความผิดแล้วครอบครัวจะมีการฟ้องกลับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่นั้น ตนขอปรึกษากับทางครอบครัวนายฝนก่อน แต่เชื่อว่าครอบครัวของนายฝนคงจะไม่กล้าฟ้องกลับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ถ้าหากเป็นตนก็คงไม่แน่ เนื่องจาก ตนเป็น “ทนายสายชน” และไม่กลัวต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น และจะต่อสู้เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับนายฝน
โดย
นายสมจิตร ฉิมมา พ่อของนายฝน เผยว่า หลังจากที่ทนายอนันต์ชัยเข้ามาช่วยเหลือก็รู้สึกดีใจและไม่มีความวิตกกังวล โดยเมื่อช่วง 1 - 2 วันที่ผ่านมา ตนได้มีโอกาสไปเยี่ยมลูกชาย พบว่านายฝนอยากกลับบ้านตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากลูกชายเป็นห่วงบ้านและเป็นห่วงจักรยาน ที่ผ่านมาตนกับลูกก็ไม่เคยจากกันไปไหนไกล ซึ่งหลังจากที่ผลออกมาว่าลูกตนกระทำความผิด ตนก็ยืนยันกับบุคคลอื่นเสมอว่าลูกไม่ได้กระทำความผิด ซึ่งอุปนิสัยของลูกก็ไม่เคยทำร้ายใคร ชอบไปวัด แต่เมื่อผลออกมาเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกสงสารลูก
ขณะที่
นายอำนาจ จุ้ยทรัพย์ หรือ อ๊อด คนใบ้เพื่อนสนิทนายฝน เปิดเผยผ่าน นางสุนทร จุ้ยทรัพย์ มารดาเป็นผู้แปลว่า ตนกับนายฝนสนิทกันมานานแล้ว โดยพฤติกรรมของนายฝนไม่เคยไปทำร้ายบุคคลอื่นมาก่อน และเป็นคนที่รักเด็ก เท่าที่รู้จักกับนายฝนมา นายฝนมักจะชอบอยู่ที่วัดคอยล้างจานและตีกลองเพลเป็นประจำ และไม่เชื่อว่านายฝนจะพาเด็กไปที่ไร่อ้อยแล้วก่อเหตุกับเด็ก ภายหลังจากทนายมาให้การข่วยเหลือก็รู้สึกดีใจ
ด้าน
นางพเยาว์ ฉิมมา พี่สาวนายฝน เปิดเผยว่า วันนี้ตนเดินทางเยี่ยมนายฝนที่โรงพยาบาล อาการตอนนี้เขาเหมือนขณะอยู่ที่บ้าน พอเจอหน้าแม่ก็สอบพูดว่า "อยากไปตีระฆังที่วัด" ขนาดแพทย์สอบถามเขาว่าอยู่บ้านทำอะไร เขาก็ตอบหมอว่า ตีระฆังให้พระ หมอจึงยิ้มแล้วสอบถามต่อว่า ฝนอายุเท่าไร เขาก็ตอบอายุตัวเองว่า 5 ขวบ ทั้งนี้ ครอบครัวยังไม่ได้ข้อสรุปจากแพทย์ว่า นายฝนมีอาการที่บ่งบอกว่ารู้เห็นเกี่ยวกับการหายไปของเด็กวัย 2 ขวบหรือไม่ โดยต้องรอให้แพทย์สรุปผลอีก 45 วัน ระหว่างนี้ต้องให้แพทย์เฝ้าดูอาการไปเรื่อย ๆ
ครอบครัวรู้สึกสงสารนายฝนเวลาที่ฝนบอกว่าอยากกลับบ้าน เพราะเจ้าตัวพยายามถามแม่ว่า เอาเสื้อผ้ามาให้หรือเปล่า เพราะคงคิดว่าครอบครัวมารับกลับบ้าน แม้ตนจะรู้สึกสบายใจที่นายฝนได้รับการดูแลจากแพทย์ แต่ด้วยความคุ้นเคยที่จะต้องอยู่ด้วยกัน ตนก็อยากจะเจอหน้าน้อง สำหรับการปรึกษาเรื่องคดีของน้องชายกับทนายอนันต์ชัย ทนายให้คำปรึกษาเป็นอย่างดี โดยทนายให้ครอบครัวรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ไว้ แต่ขณะนี้โรงพยาบาลยังไม่ให้ใบรับรองแพทย์มา จนกว่าจะครบ 45 วัน
นางพเยาว์ ยอมรับว่า ตนก็รู้สึกกลัวว่า หากผลตรวจจากแพทย์ออกมาแล้วน้องตนมีความผิด แต่ทั้งนี้แพทย์แจ้งบอกว่าให้ครอบครัวสบายใจได้ ไม่ว่าจะผลทางการรักษาตัวหรือผลทางคดี ขณะนี้ครอบครัวก็พอที่ยิ้มได้แล้ว อีกทั้งแพทย์ยังให้ครอบครัวไปเยี่ยมนายฝนได้ตลอดเวลา