จากกรณี นายฝน ชายผู้ป่วยออทิสติกในหมู่บ้าน ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีพรากผู้เยาว์ เด็กชายซูลุยผิว หรือ น้องต้าแง อายุ 2 ขวบ สัญชาติเมียนมา ซึ่งพลัดหลงในไร่อ้อย จนกระทั่งพบว่าเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยกลุ่มชาวบ้านไม่เชื่อว่านายฝนจะมีส่วนเกี่ยวข้อง จนเป็นเหตุให้น้องต้าแงเสียชีวิต ต่อมา นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ ได้บอกว่าจะเข้ามาช่วยเหลือคดีนี้ (อ่าน :
"ฝน"เศร้าอยากกลับบ้านถูกกักตรวจจิต "อนันต์ชัย" เข้าช่วยคดี ไม่เชื่อมโยงเด็กพม่าตาย)
วันที่ 7 ม.ค. 62 รายการต่างคนต่างคิด ตอน เปิดหลักฐานใหม่ “ฝน คนเพี้ยน” ไม่ฆ่าเด็กพม่า ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ ทีวี ช่อง 34 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.50 น. เชิญ คุณอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ, คุณสมจิตร ฉิมมา พ่อผู้ต้องหา, คุณพยุง สร้องทอง แม่ของผู้ต้องหา, คุณอำนาจ - คุณสุนทร จุ้ยทรัพย์ ครอบครัวคนสนิทผู้ต้องหา และคุณกฤษณะ แก้วบัวดี - เพื่อนบ้านผู้ต้องหา มาร่วมพูดคุยในรายการ
คุณพยุง เปิดเผยว่า ภายหลังลูกถูกจับไปตนก็รู้สึกเครียด ความดันขึ้นกว่า 200 แต่วันนี้สามารถมาออกรายการหรือพบเจอกับสื่อฯ ได้เนื่องจากรู้สึกเบาใจขึ้น เนื่องจากได้รับความช่วยเหลือจากหลาย ๆ ภาคส่วน
ซึ่ง
คุณกฤษณะ ให้ข้อมูลว่า ตนเป็นคนในพื้นที่ เห็นนายฝนมาตั้งแต่เกิด และไม่เคยเห็นว่านายฝนจะเข้าไปภายในไร่อ้อยเลยสักครั้ง แม้แต่บ้านของตนที่อยู่หลังบ้านของนายฝนไปเพียงนิดเดียวนายฝนก็ยังไม่เคยเดินทางไป เพราะส่วนใหญ่นายฝนมักจะเดินทางไปที่วัดนันทวันมากกว่า อีกทั้งนายฝนมักมีพฤติกรรมชอบไปแต่สถานที่เดิม ๆ ซ้ำ ๆ และหากจะไปในสถานที่ใหม่ก็จะต้องมีคนพาไปเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะหลงทาง
รวมถึงการกล่าวหาว่า นายฝนจะจอดหรือให้เด็กเมียนมาซ้อนจักรยานไปไหนนั้นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากนายฝนเป็นที่ห่วงจักรยานของตัวเองมาก ขนาดคนอื่นแค่เคลื่อนย้ายจักรยานของนายฝนเพียงหน่อยเดียวเจ้าตัวก็โวยวายแล้ว
และ
ครอบครัวของผู้ต้องหา ยืนยันว่า ขนาดครอบครัวของตนเดินทางไปตัดอ้อยในไร่ นายฝนก็ยังไม่เคยตามมาด้วยสักครั้งเดียว อีกทั้ง ตั้งแต่เกิดมานายฝนยังไม่เคยเข้าไปในไร่อ้อยอีกด้วย
ขณะที่
คุณอำนาจ - คุณสุนทร กล่าวว่า อ๊อดเป็นเพื่อนซี้กับนายฝน โดยนายฝนมากจะเข้ามาหานายอ๊อดที่บ้านเสมอ ๆ เนื่องจากบ้านของพวกตนอยู่ไม่ไกลจากวัดนันทวันนัก วันเกิดเหตุ นายอ๊อดเห็นนายฝนอยู่วัดนันทวันจนถึงเที่ยง ไปช่วยงาน กินข้าว ล้างจาน ตีกลองเพล ส่วนขณะที่นายฝนถูกเจ้าหน้าที่จับอ๊อดก็เห็นเหตุการณ์ โดยเห็นว่าเจ้าหน้าที่มาควบคุมตัวนายฝนไปพร้อมกับจักรยาน แต่ขณะนั้นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างไม่คิดว่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่เด็กชายต้าแงเสียชีวิต
หลังเกิดเหตุ ก็ยังไม่มีเจ้าหน้าที่มาสอบถามอะไรกับตนและอ๊อดทั้งสิ้น ทั้งที่ชาวบ้านในพื้นที่รู้ดีว่าอ๊อดและนายฝนมักจะอยู่ด้วยกันไม่ห่าง อีกทั้งยังมีคนบอกอีกว่า หากอ๊อดไปเป็นพยานให้นายฝนก็อาจจะมีเรื่องพัวพันมาถึงครอบครัวได้
จากนั้น
คุณอนันต์ชัย เปิดเผยว่า การตัดสินใจมาช่วยนายฝนในครั้งนี้ จริง ๆ แล้วตนก็มองและติดตามคดีดังกล่าวอยู่นานแล้ว ส่วนประโยคที่ทำให้ตนรู้สึกติดใจคือ นายฝนบอกว่า อายุ 32 แต่บอกว่าตัวเองอายุ 5 ขวบ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ตนต้องออกมาชี้แจงกับสังคมเนื่องจากลูกของตน คือ น้องเหนือเมฆ ก็เป็นโรคออทิสติกเช่นเดียวกัน ทำให้ตนมีความคุ้ยเคยและศึกษาเกี่ยวกับโรคดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงขอยืนยันอีกว่าผู้ป่วยมักจะมีความจำสั้น และมีพัฒนาการล่าช้า ไม่ได้เป็นคนบ้า หรือเสียสติอย่างที่สังคมเข้าใจ
นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่เป็นโรคดังกล่าวมีอาการย้ำทำย้ำคิด มักทำแต่สิ่งเดิม ๆ ลักษณะการเดินก็มักจะเลือกทางเรียบ สะดวก และคุ้นเคยเท่านั้น ซึ่งลูกของตนขณะนี้อายุ 19 ปีแล้ว พบว่ายังมีอาการเช่นเดียวกัน อีกทั้งเมื่อตนลงพื้นที่ไปสำรวจเส้นทางทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคดีแล้ว พบว่า เส้นทางที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพานายฝนไปทำแผน (บริเวณ 3 แยก ถึงบ่อน้ำจุดพบศพเด็กชาวเมียนมา) นั้น นายฝนไม่ทางจะเดินหรือขี่จักรยานเข้าไปแน่ เรื่องนี้สามารถยืนยันได้จากคำบอกเล่าของครอบครัวว่านายฝนมักจะไปอยู่ 3 ที่ คือ บ้าน วัดนันทวัน และบ้านของนายอ๊อด
ซึ่ง
คุณอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ตนยังมีข้อสงสัยว่า ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพานายฝนไปทำแผนครั้งที่ 1 ซึ่งไม่ได้มีพ่อของนายฝนเดินทางไปด้วยนั้น จะเป็นการนัดแนะและดูที่เกิดเหตุก่อนหรือไม่ และแม้แต่ระหว่างที่เดินทางไปชี้จุดครั้งที่สอง ก็ยังพบว่ามีเรื่องผิดปกติทั้งการถามคำถามของเจ้าหน้าที่และเรื่องที่นายฝนชี้เลยจุดพบศพเด็กชายชาวเมียนมาไปกว่า 40 เมตร
ดังนั้นด้วยข้อพิรุธทั้งหมด ตนจึงขอเอาเกียรติประวัติเป็นเดิมพันว่า นายฝนไม่ได้ไปที่จุดเกิดเหตุ อย่างแน่นอน 100 เปอร์เซนต์
ทั้งนี้ ตนขอท้วงติงเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อคำให้การของเด็กสามขวบชาวเมียนมา และคำให้การของผู้ป่วยออทิสติกอย่างนายฝน ว่าให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาการทำงานเสียใหม่ด้วย
อีกทั้ง
คุณอนันต์ชัย กล่าวว่า จากประสบการณ์ของตน ผู้ป่วยออทิสติก หากรักสิ่งไหนแล้วก็มักจะหวงสิ่งของเหล่านั้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่มีทางที่นายฝนจะทิ้งจักรยานของตัวเอง แล้วจูงเด็กชายเข้าไปในไร่อ้อย ส่วนการจะให้เด็กซ้อนท้ายก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะจักรยานไม่ได้ติดตั้งเบาะนั่งด้านหลัง อีกทั้งหากขับขี่เข้าไปจะเป็นเส้นทางที่สัญจรลำบาก ซึ่งเรื่องหวงจักรยานนี้ก็สำคัญ เพราะขนาดเจ้าหน้าที่จะสอบสวนนายฝนยังต้องลากจักรยานของเจ้าตัวเข้ามาถึงห้องสอบสวน ไม่เช่นนั้นเจ้าตัวจะให้ปากคำไม่ได้ จึงเป็นสาเหตุที่ในวันจับกุมตัว นายอ๊อดเห็นเจ้าหน้าที่ขนจักรยานของนายฝนไปด้วย
โดย
ครอบครัวของผู้ต้องหา กล่าวว่า หลังจากที่ไปเยี่ยมนายฝนก็บอกตนว่าอยากกลับบ้าน ให้ครอบครัวนำเสื้อผ้ามาให้ แต่พวกตนก็ได้แต่ปลอบลูกไปว่าให้รักษาตัวก่อน
จากนั้น
คุณอำนาจ - คุณสุนทร กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากนายฝนถูกจับก็รู้สึกคิดถึงนายฝนมาก นอนน้ำตาไหล เพราะเป็นคนที่เคยเจอกันทุกวัน
โดย
คุณอนันต์ชัย เปิดเผยอีกว่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคดีดังกล่าวนี้ไม่มีการขึ้นศาลแน่นอน เนื่องจากนายฝนไม่สามารถขึ้นศาลได้ แต่หากศาลมีการสั่งฟ้องเรื่อง ดังกล่าวนี้ก็จะเป็นตราบาปของนายฝนไปตลอดชีวิต และถือเป็นตราบาปของพนักสอบสวนทั้งจังหวัดสุพรรณบุรีอีกด้วย
และในวันพุธนี้ (9 ม.ค.) จากนี้ตนจะเดินทางไปร้องเรียนที่กองปราบฯ เนื่องจากไม่มีความเชื่อมันในการทำงานของเจ้าหน้าที่ สภ.สระยายโสม โดยต้องการให้ทางกองปราบฯ มีการย้ายคดี และรื้อคดีดังกล่าวขึ้นมาสอบสวนใหม่ทั้งหมด และต้องการให้มีแพทย์ผู้เชี่ยวชายด้านโรคออทิสติกเข้าร่วมในคดีดังกล่าวด้วย เพราะพยานทุกคนที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้สอบปากคำนั้นมีความสำคัญแทบทุกคน
สุดท้าย
คุณอนันต์ชัย แสดงความคิดเห็นว่า การเข้ามาช่วยนายฝนในครั้งนี้ ตนถือว่าเป็นการช่วยเหลือลูกของตัวเอง เพราะตนเข้าในความรู้สึกของทุกคนเป็นอย่างดี ทั้งนายฝน พ่อแม่และครอบครัวของนายฝน เพราะสิ่งที่ครอบครัวของตนและครอบครัวของนายฝนเคยประสบมานั้นมีความคล้ายคลึงกัน