ความคืบหน้ากรณีนายอภิชาติ พูลเผือก หรือ เสี่ยก้อง อายุ 39 ปี เสี่ยเจ้าของธุรกิจร้านเกาลัดชื่อดังในจังหวัดกาญจนบุรี เสียชีวิตหลังจากตกจากรถยนต์กระบะป้ายแดง ซึ่งมี "น้องแหม่ม" หญิงสาวคนสนิทเป็นคนขับรถ โดยญาติและภรรยาของเสี่ยก้องต่างติดใจในสาเหตุการเสียชีวิต หลังเห็นคลิปวิดีโอจากกล้องหน้ารถที่บันทึกภาพเหตุการณ์ ขณะเสี่ยกล้องตกจากรถยนต์กระบะ และเผยให้เห็นพฤติกรรมของน้องแหม่ม รวมถึงน้องชาย และเพื่อนที่ขับรถตามหลังมา แต่ไม่รีบเข้าไปช่วยเหลือหรือไม่นั้น
ล่าสุด วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 เมื่อเวลา 10.00 น. นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ได้พานางสาวพภัสสรณ์ ปิ่นจุ หรือ นุ่น อายุ 37 ปี ภรรยาหลวงของเสี่ยกล้อง เดินทางมาที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อยื่นฟ้องน้องแหม่ม ในเรื่องชู้สาว พร้อมเรียกค่าเสียหายจากน้องแหม่ม ป็นเงินจำนวน 3 ล้านบาท
ทนายตั้ม กล่าวว่า การเดินทางมายื่นฟ้องน้องแหม่มในวันนี้ สืบเนื่องมาจากพฤติกรรมของน้องแหม่ม ที่ได้มีการเดินสายไปออกรายการ และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลายสำนัก ยอมรับว่าตัวเองเป็นภรรยาคนที่ 2 ของเสี่ยก้อง และยังมีลูกกับเสี่ยก้องอีก 1 คน ซึ่งถือเป็นการยอมรับอย่างเปิดเผย และทำให้สังคมในวงกว้างได้รับรู้เรื่องราวดังกล่าว ทำให้น้องนุ่น ซึ่งเป็นภรรยาหลวงที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายของเสี่ยก้อง ได้รับความอับอาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ดังนั้นน้องนุ่นจึงได้ดำเนินการฟ้องแพ่ง เรียกค่าเสียหายจากน้องแหม่มเป็นเงิน 3 ล้านบาท คดีนี้ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดกาญจนบุรีจะได้นัดสืบพยานในช่วงเดือนเมษายนต่อไป
ในส่วนของคดีอาญา ทางน้องนุ่นได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีใน 3 ข้อหา คือ 1. ดำเนินคดีกับน้องแหม่มในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต 2. ดำเนินคดีกับน้องแหม่มในความผิดฐานทำร้ายร่างกายของน้องนุ่น ที่บริเวณหน้าคลินิกฝากครรภ์ ในอำเภอท่าม่วง ซึ่งมีคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิด บริเวณหน้าคลินิกเป็นหลักฐาน 3. แจ้งความขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบกรณีเงินในบัญชีของเสี่ยก้องหายไป หลังจากที่เสียก้องเข้ารักษาตัวและเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ซึ่งเป็นเงินหลักแสนบาท
ขณะนี้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรท่าม่วงกำลังอยู่ในระหว่างการติดตามสอบสวนเรื่องของเงินในบัญชีที่หายไป ซึ่งเมื่อได้ข้อมูลว่าใครเป็นผู้ถอนเงินออกไปจากบัญชีของเสี่ยก้อง และโอนเงินไปให้ใคร ทางน้องนุ่นก็จะได้มอบหมายให้ทนายความดำเนินคดีฟ้องร้องกับทั้งคนที่ถอนเงิน และคนที่รับโอนเงินไปตามกฎหมาย
ด้านน้องนุ่น ภรรยาหลวงของเสี่ยก้อง กล่าวว่า วงแรกที่เกิดเรื่องขึ้นตนเองไม่มีความรู้ในเรื่องข้อกฎหมายมากนัก เมื่อได้ทนายตั้มเข้ามาช่วยดูแลเรื่องคดีความให้ก็ได้รับคำแนะนำเป็นอย่างดี ต้องขอขอบคุณทนายตั้มที่มาช่วยว่าความ และดูแลเรื่องคดีความในครั้งนี้ให้
ซึ่งวันนี้ทนายเดชา และทนายษิทรา นัดกินข้าวร่วมกับกลุ่มทนายทั้งทนายเกิดผล ทนายรณรงค์ และทนายเจมส์ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านเอกมัย รวมถึงหมอปลาและภรรยาด้วย
ทายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความของ น.ส.แหม่ม กล่าวว่า น.ส.แหม่มจะสู้คดี ยืนยันว่าไม่ได้เป็นชู้ นางนุ่นภรรยาจดทะเบียนรับรู้อยู่แล้ว ซึ่งหากรับรู้ยินยอมก็ไม่สามารถฟ้องได้ ส่วนคดีอื่นทราบว่ามีการแจ้งความไว้ แต่ยังไม่มีการแจ้งข้อหา
กรณีที่ตนกับทนายตั้มมาสนิทกัน ตอนแรกน.ส.แหม่ม ก็กังวล แต่ตนก็ได้ชี้แจงแล้วว่าเป็นคนละส่วนกัน และได้แจ้งว่าหากไม่สบายใจสามารถเปลี่ยนทนายได้ เนื่องจากตนกับทนายตั้มจะไม่พูดกันเรื่องคดีเพราะเป็นความลับ วันนี้มากินข้าวกับทนายตั้ม รวมถึงทนายคนอื่น ๆ ก็เหมือนเป็นพี่น้องกัน
ด้านทนายษิทรา ระบุว่า คดีที่ได้ฟ้องชู้ต่อ น.ส.แหม่ม เพราะแสดงตัวว่าเป็นภรรยาอีกคน ทั้งบอกต่อคนทั่วไป รวมถึงไปออกรายการต่าง ๆ นานา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 3 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีเรื่องขับรถประมาททำให้เสี่ยก้องถึงแก่ความตาย ทำร้ายร่างกายหน้าคลินิก และเรื่องเงินในบัญชีเสี่ยก้องซึ่งหายไปหลังเสี่ยก้องเสียชีวิต แต่ไม่แน่ชัดว่าใครเป็นคนเอาไป
โดยการฟ้องชู้ที่ น.ส.แหม่ม อ้างว่า นางนุ่น ภรรยาหลวงรับรู้มาตลอด ยืนยันว่า น.ส.นุ่น ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพิ่งมาทราบแน่ชัดช่วงปลายปี 2564 เพราะ น.ส.แหม่ม โทรมาบอกว่าเป็นภรรยาอีกคน ส่วนกรณีที่ตนกับทนายเดชาสนิทกัน ตนได้คุยกับภรรยาหลวงแล้ว นางนุ่นเข้าใจว่าตนทำงานเป็นมืออาชีพ วันนี้มากินข้าวด้วยกัน ไม่ได้คุยกันเรื่องคดี คุยกันเรื่องทั่วไป การปฏิบัติหน้าที่ในศาลก็เป็นอีกส่วน เพราะคงไม่มีใครอยากแพ้คดี และที่ผ่านมาก็เคยเจอทนายที่สนิทกันอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นเรื่องธรรมดา