เป็นข่าวใหญ่สำหรับวงการบันเทิงที่ต้องสูญเสียนักแสดงอาวุโสมากฝีมือ “อาต้อย - เศรษฐา ศิระฉายา” ในวัย 77 ปี หลังจากที่ต่อสู้และรักษาตัวจากโรคมะเร็งปอด ระยะที่ 4 ซึ่งผลจากการรักษาด้วยวิธีเคมีบำบัด ทำให้มีผลข้างเคียงจนทานอาหารไม่ค่อยได้ ต้องให้อาหารทางสายยาง
ล่าสุดวันที่ 20 ก.พ.65 “อี๊ฟ พุทธธิดา” ลูกสาวของอาต้อย ก็ได้โพสต์รูปท้องฟ้า และระบุข้อความว่า “4.41” ซึ่งก็มีแฟน ๆ และชาวเน็ตแห่กันเข้ามาคอมเมนต์แสดงความเสียใจและให้กำลังใจจำนนวนมาก
สำหรับเส้นทางของ "อาต้อย เศรษฐา" เริ่มก้าวเข้าสู่เส้นทางสายบันเทิง ตั้งแต่อายุประมาณ 16 ปี ด้วยการเป็นคนขนเครื่องดนตรีในวงดนตรี ก่อนจะจับไมค์เป็นนักร้องนำวง The Impossibles วงดนตรีแห่งยุค 60-70 ความสามารถยังไม่จบเท่านั้นขึ้นแท่น ดารายอดฝีมือ สู่ศิลปินแห่งชาติ จากเด็กขนเครื่องดนตรีได้ฝึกหัดทักษะด้านดนตรีแบบครูพักลักจำ จนปี พ.ศ.2512 อาต้อย เศรษฐา ได้รวมตัวกับเพื่อน ๆ ตั้งวงชื่อ The Impossibles (ดิอิมพอสซิเบิ้ล) เรียกสั้น ๆ ว่า ดิอิม โดยอาต้อยเป็นนักร้องนำ ดิอิม เป็นวงดนตรีสตริงคอมโบวงแรกๆ ของไทย มีชื่อเสียงในยุค 60s - 70s คว้ารางวัลชนะเลิศการประกวดวงสตริงคอมโบ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และยังชนะเลิศการประกวดวงสตริงคอมโบอีกหลายครั้ง
วง The Impossiblesได้บรรเลงเพลงประกอบภาพยนตร์อีกหลาย เช่น เรื่อง โทน (พ.ศ.2513), ดวง (พ.ศ.2514) สวนสน (พ.ศ.2514) ,ระเริงชล (พ.ศ.2515) ,ตัดเหลี่ยมเพชร (พ.ศ.2518) ฯลฯ กลายเป็นวงที่มีชื่อเสียงโด่งดังถึงขีดสุดก่อนจะยุบวงในปี พ.ศ. 2520 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ อาต้อย เศรษฐา ก้าวสู่วงการแสดง โดยละครเรื่อง ชื่นรัก พ.ศ. 2522 อาต้อย เศรษฐา ได้รับบทพระเอกประกบคู่กับ อรัญญา นามวงศ์ นางเอกชื่อดัง เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ให้ทั้งคู่จนกลายเป็นคู่ชีวิต
อาต้อย เศรษฐา มีผลงานทั้งในด้านนักแสดงและพิธีกร ในปี พ.ศ.2554 ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ ในสาขาศิลปะการแสดง วันที่ 26 เมษายน 2557 ที่หอภาพยนตร์ อาต้อยได้ประทับรอยมือรอยเท้า เป็นดาวดวงที่ 150 บนลานดารา หน้าโรงภาพยนตร์ศรีศาลายา
นอกจากนี้ ประวัติของ อาต้อย เศรษฐา ศิระฉายา เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2487 เป็นชาว จ.พระนครศรีอยุธยา จบการศึกษามัธยมปลายจากโรงเรียนวัดบวรนิเวศ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ หลักสูตรโครงการพิเศษ สาขาวิชาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง ระดับปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ สาขาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต MBA มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี มีโอกาสมาพูดคุยกับ "วินัย พันธุรักษ์" เพื่อนร่วมวงดิอิมพอสซิเบิ้ล (The Impossibles) เล่าให้ฟังว่า อาการป่วยของอาต้อย เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว หลังจากที่แสดงคอนเสิร์ตงานปิดตำนานดิอิมพอสซิเบิ้ล ซึ่งอาต้อยก็มีอาการเหนื่อย จึงไปตรวจหาสาเหตุ โดยคุณหมอแจ้งว่าป่วยเป็นมะเร็งปอด ซึ่งก็รักษาอาการเรื่อยมา ช่วงที่อาต้อยรักษาตัว ตนก็ได้ไปเยี่ยมที่บ้าน แต่อาจจะไม่ได้ไปบ่อย เนื่องจากมีสถานการณ์โควิด-19 แต่ก็ได้โทรศัพท์ไปหาพูดคุยหรือคุยกันผ่านข้อความไลน์บ้าง
กระทั่งเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา อาต้อยหมดแรง ก็อาจจะห่างหายจากการคุยกันไป แต่ 3 วันที่แล้ว ตนก็ยังได้ไลน์คุยกับอาต้อย เนื่องจากเขาไม่ค่อยกินข้าว จึงทำให้ร่างกายทรุดลงเรื่อย ๆ ตนจึงได้พิมพ์คุยกับเขาว่า "กินข้าวเยอะ ๆ เดี๋ยวร่างกายทรุดเอานะ" ซึ่งอาต้อยก็รับปาก ส่วนสาเหตุที่อาต้อยทานอาหารได้น้อยนั้น เกิดจากผลของข้างเคียงของการรักษาตัว น้ำหนักลดทำให้ผอมลงมาก ๆ หลังจากเข้ารับคีโม
สำหรับผลงานที่ร่วมงานกันครั้งล่าสุด เมื่อ 6-7 เดือนที่แล้วได้ถ่ายทำวิดีโอร่วมกัน ซึ่งตั้งใจที่จะจัดคอนเสิร์ตในกลางปี 65 เพราะตอนนั้นอาต้อย ยังสามารถร้องเพลงได้และหน้าตาสดใส แต่ว่าการทำงานครั้งนี้ก็เป็นการทำงานด้วยกันครั้งสุดท้าย ส่วนการทำงานกับอาต้อย ที่ผ่านมาเขาจะเป็นคนมีปฏิภาณไหวพริบ เวลาอยู่บนเวทีเขาจะเป็นคนเฮฮาสนุกสนาน เป็นคนพูดจาเพราะและมีเสน่ห์ ร้องเพลงเพราะ
"ช่วงวงดิอิมพอสซิเบิ้ลรุ่งเรือง ก็ได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศยาวนานถึง 5 ปีนะ อยู่ฮาวาย 1 ปี อยู่สแกนดิเนเวีย 3 ปี และอยู่ที่ไต้หวัน 1 ปี มันก็เป็นช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกัน และรู้สึกใกล้ชิดกันเหมือนเป็นพี่เป็นน้อง ซึ่งมีเหตุการณ์ที่ประทับใจที่อาต้อยตอนนั้นได้เริ่มประกวดดนตรีสตริงคอมโบ ชิงถ้วยพระราชทาน ของในหลวง ร.9 จัดโดยสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย วงของเราได้รับรางวัลชนะเลิศ จึงมีความมุ่งมั่นมาก ๆ หลังจากเลิกงานแล้วก็ต้องซักซ้อมวงดนตรีจนถึงเช้า ซึ่งสิ่งที่ทำให้ประทับใจก็คือสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศ 3 ปีซ้อน ตอนแรกมีสมาชิกของวง 5 คน ต่อมาได้เพิ่มมาเป็น 7 คนครับ" อาวินัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สมาชิกในวงดิอิมพอสซิเบิ้ลได้ล้มหายตายจากไปแล้วถึง 5 คน ตนก็รู้สึกว่าใจหายมาก ๆ เพราะความรู้สึกเหมือนพี่น้องที่มีความผูกพัน ได้เห็นการเติบโต ได้สร้างผลงานและสร้างอาชีพร่วมกัน จากไปทีละคน ๆ สำหรับเหตุการณ์เช่นนี้ตนก็ต้องยอมรับความจริง เพราะว่าเป็นสิ่งที่สุดวิสัยไม่มีใครหลีกเลี่ยงไปได้
ด้านกำหนดการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพและสวดพระอภิธรรม นายเศรษฐา ศิระฉายา (ศิลปินแห่งชาติ) จะจัดขึ้น ณ ศาลา 1 วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร แขวงวัดเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
วันที่ 21 ก.พ.65 เวลา 15.00 น. พิธีรดน้ำศพ เวลา 17.30 น. พิธิพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ เวลา 19.00 น. สวดพระอภิธรรมศพ
วันที่ 22 - 27 กุมภาพันธ์ 65 เวลา 19.00 น. สวดพระอภิธรรมศพ ขอความกรุณางดพวงหรีดดอกไม้ และขอเชิญร่วมบริจาคทำบุญสมทบทุน มูลนิธิภัทรมหาราชานุสรณ์ในพระอุปถัมภ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ขอความร่วมมือทุกท่านกรุณาปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19
"เบิร์ด - ธงไชย แมคอินไตย์" ออกมาโพสต์ข้อความว่า "พี่ต้อยเป็นบุคคลตัวอย่างของเบิร์ดในการทำงาน ความเป็นสุภาพบุรุษ ความอ่อนโยน ความเป็นมืออาชีพที่ผสมกันอย่างดี ทั้งความอบอุ่นและสัมผัสได้ของพี่ต้อย เป็นตัวอย่างที่ดีของการทำงานในวงการบันเทิงเสมอมา เบิร์ดขอกราบพี่ต้อย กราบลาพี่ด้วยความเคารพและอาลัยยิ่งครับ 20/2/2565"
นก - สินจัย เปล่งพานิช โพสต์ว่า "ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวอาต้อยเศรษฐา และครอบครัวอาธรรมรัตน์…ด้วยความเคารพรัก"
โจอี้ บอย ได้โพสต์ภาพเมื่อครั้งมีโอกาสร่วมงานกับ อาต้อย ในภาพยนตร์เก๋า เก๋า ที่ออกฉายเมื่อปี 2549 โดยระบุว่า "หนังเรื่องนี้ผมเขียนขึ้นมาโดยมีแรงบันดาลใจจากคุณอา และจากคำพูดนึงของพ่อแม่ผมเวลาเค้าเล่าให้ฟังถึงสมัยเค้าเป็นวัยรุ่นจัดงานปาร์ตี้และมีวงสตริงคอมโบ้ “ต้อย เศรษฐาและดิอิมพอสสิเบิ้ลมาเล่นดนตรีด้วยนะ” “ชั้นชอบมาก”
จากความประทับใจของแฟนคลับอย่างพ่อแม่ผม จึงเป็นที่มาของจินตนาการต่อมาที่ผมพยายามถ่ายทอดมาสู่ภาพยนตร์เรื่องเก๋า เก๋า แม้แต่ชื่อหนังในภาษาอังกฤษ The Possible ยังตั้งเลียนแบบเพื่อเป็นเกียรติแก่วง The Impossible นี่เป็นฉากที่ผมชื่นชอบที่สุดที่ผมรู้สึกว่าผมพูดมันออกมาจากใจแทนความรู้สึกของพ่อแม่ผม ผ่านตัวละครของต๋อย และแฟนดิอิมพอสสิเบิ้ล เป็นเกียรติทั้งผมและครอบครัวที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับอานะครับ หลับให้สบายครับต้อย ดิอิม"
ขณะที่ “แม่เม้า - สุดา ชื่นบาน” โพสต์ข้อความว่า “เพิ่งได้รับข่าวเศร้า เมื่อกี้นะคะ ใจหายจริง ๆ กับข่าวของต้อย”
"นก - จริยา" ก็ได้แสดงความไว้อาลัยว่า "กราบลา พี่ต้อย เศรษฐา ศิระฉายา ด้วยความรัก เคารพ และอาลัย อย่างยิ่งค่ะ ขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุด ต่อครอบครัวอา ค่ะ ทุกๆ ผลงานยังตราตรึง อยู่ในใจตลอดไป"
ตั๊ก - มยุรา เศวตศิลา โพสต์ข้อความว่า "ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัว"ศิระฉายา" ตั๊กและคุณหนุ่ยจะคิดถึงพี่ชายที่น่ารักของเราคนนี้ตลอดไป"
ตุ๊ก - ดวงตา ตุงคะมณี ระบุว่า "กราบลาพี่ต้อยพี่ชายที่แสนดีของน้องๆด้วยรักและเคารพ หลับให้สบาย มุ่งสู่สุคติภูมินะจ๊ะพี่"
เกรท - วรินทร ปัญหกาญจน์ โพสต์ไว้อาลัยว่า "ขอกราบลาอาต้อยตรงนี้ครับ เคยมีโอกาสได้ร่วมงานกับอา อาน่ารักแล้วก็ใจดีกับผมมากๆเลย .. ผมติดตามข่าวเรื่องสุขภาพของอาต้อยมาตลอด ใจหายทุกครั้งที่ได้ยินข่าว … หลับให้สบายนะครับอา กราบลาด้วยความเคารพรักครับ"
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้พูดคุยผ่านวิดีโอคอลกับ “อ๊อฟ ศุภณัฐ” กล่าวว่า ตนมีโอกาสรู้จักกับอาต้อย ตั้งแต่วันที่เข้าประกวดในบ้าน AF ก็เป็นเวลา 16 ปีแล้ว ครั้งแรกที่ได้เจอกับอาต้อย ตอนนั้นตนอายุ 18 ปี เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ขนาดอยู่ในบ้าน AF ก็ยังไม่ค่อยรู้ว่าจะคุยกับใครดี แต่พอได้มาเจออาต้อยบนเวที ตนจะรู้สึกได้เลยว่า "นี่แหละคือความรู้สึกผูกพัน อาต้อยจะเอ็นดูผม และหวังดีกับผมมาก ๆ ตั้งแต่สัปดาห์แรกจนถึงสัปดาห์สุดท้าย ทั้งหมด 12 สัปดาห์"
ทั้งนี้ ในสัปดาห์สุดท้ายของการแข่งขัน อาต้อย ก็ยังมาถามตนกลางเวทีว่า “อ๊อฟ อาถามจากใจเลยนะ อ๊อฟอยากได้ที่เท่าไร” แล้วตอนนั้นด้วยความที่ตนยังเด็ก ก็เลยตอบอาต้อยไปว่า “ผมอยากได้ที่ 1 ครับ” ในตอนนั้นอาต้อย ก็ยังชวนคนดูเฮไปกับคำตอบของตน ซึ่งทำให้ตนรู้สึกได้ถึงความเอ็นดู และรู้สึกว่าอาต้อยอยากให้ตนได้แชมป์จริง ๆ
นอกจากนี้ ตนจำได้ว่าตั้งแต่สัปดาห์แรกจนถึงสัปดาห์สุดท้ายของการแข่งขัน ตนจะรู้สึกว่าอยากให้ถึงวันเสาร์เร็ว ๆ เพื่อที่จะได้มาเจออาต้อย เพราะอาต้อยจะดูเป็นคนอบอุ่นมาก ๆ แล้วก็จะคอยเชื่อมความสัมพันธ์ของเหล่าผู้เข้าแข่งขันในบ้าน AF ได้ดี และหลังจากแข่งขันเสร็จก็ยังคิดถึงอาต้อยอยู่ตลอด วันไหนมีคอนเสิร์ตอาต้อย ตนก็ยังชวนแฟนคลับมาดู หรือบางครั้งตนเป็นคนไปมอบดอกไม้ให้เพื่อแสดงความยินดี
สำหรับอาต้อย เป็นคนที่เก่งในทุก ๆ มิติของวงการบันเทิง บางเพลงตนก็เพิ่งมาทราบว่าเป็นเสียงของอาต้อย เพราะเวลาอยู่ในบ้าน AF ก็จะเห็นอาต้อยในบทบาทพิธีกรอย่างเดียว ก็ยังรู้สึกว่าพิธีกรคนนี้เก่งจริง แต่พอตนเริ่มมาร้องเพลงออกคอนเสิร์ตบ่อย ๆ ก็จะมีแฟนคลับแนะนำมาว่าให้ร้องเพลงนั้นเพลงนี้ จนมาเจอเพลงของอาต้อย ซึ่งตนก็ได้ฝึกร้องเพลงของอาต้อย อย่างเช่นเพลง “เหมือนเคย” แล้วก็ได้นำไปใช้ในหลาย ๆ งาน และเวลาตนร้องเพลงก็มักจะมองเข้าไปให้ลึกว่าคนร้องต้องรู้สึกอย่างไร
"ผมทราบข่าวจากแฟนคลับเมื่อช่วงสาย ๆ ก็ยังรู้สึกใจหายมาก เพราะทุกวันนี้เราก็ได้ยินข่าวสารแบบนี้เยอะ แล้วเราก็ไม่อยากจะให้เกิดขึ้นกับคนที่เรารู้จัก วันนี้ก็ถือเป็นข่าวร้ายสุด ๆ ของพี่น้อง AF ทุกคน เพราะอาต้อยอยู่เป็นสัญลักษณ์ให้กับ AF ผมก็ฝากให้กำลังใจครอบครัวศิระฉายา ขอให้คิดว่าคุณพ่อไปสบายแล้ว ไม่ใช่แค่คุณพ่อของครอบครัวศิระฉายา แต่เป็นพ่อของ AF ทุกคน อีกใจก็ต้องคิดว่าท่านไปสบายแล้ว ท่านไปเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ อยู่ในภพภูมิที่ดี และอาต้อยก็จะอยู่ในความทรงจำที่ดีของผมตลอดไป ถือเป็นศิลปินต้นแบบที่หลาย ๆ คนควรที่จะทำตาม" อ๊อฟ ศุภณัฐ กล่าวทิ้งท้าย
“ชมพู ฟรุตตี้”หรือ นายสุทธิพงษ์ วัฒนจัง กล่าวว่า สำหรับอาการป่วยของอาต้อย ตนทราบตั้งแต่ก่อนที่จะป่วยเป็นมะเร็งปอด ก็คืออาการต่อมลูกหมาก จึงเดินทางเข้าไปเยี่ยม หลังจากนั้นประมาณ 2-3 ปี ก็มาตรวจพบว่าเป็นมะเร็งที่ปอด จนทราบว่ามีอาการไอเป็นเลือด จากนั้นก็ได้รับการรักษาคีโมอย่างดี ปรากฎว่าหลังจากได้รับการรักษาอาการดีขึ้น จากก้อนเนื้อก้อนใหญ่ก็ฝ่อลง กลับมาร้องเพลงได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ 1-2 ที่ผ่านมา อาต้อยได้เข้ารักษาที่โรงพยาบาล อาการตอนนั้นก็ดีขึ้นเยอะมาก ๆ หน้าตาสดใส มีแนวโน้มที่ดีขึ้น และหลังจากนั้น คุณหมอได้นัดคีโมเป็นครั้งที่ 2 แต่อาต้อยเกิดอาการแพ้หนัก ซึ่งครอบครัวจึงได้หยุดรักษาแบบคีโม ส่วนนิสัยของอาต้อย เป็นพี่ชายที่มีเสน่ห์มาก ๆ และตนก็รู้สึกประทับใจที่อาต้อย เป็นคนไม่โมโหใคร หรือใช้คำพูดที่รุนแรงใส่ใคร อาต้อยก็จะให้เกียรติคนอื่น ๆ เสมอ อ่อนน้อมถ่อมตัวตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม ตนเป็นคนหนึ่งที่รักอาต้อย ก่อนที่ทีมข่าวจะเข้ามาสัมภาษณ์ ตนก็นั่งร้องไห้อยู่ 2 ชั่วโมง และที่ตนน้ำตาไหลหรือเสียใจไม่ใช่เพราะอาต้อยจากไป แต่เพราะเราทุกคนรู้อยู่แล้วว่าจะต้องจากกัน แต่สิ่งที่เสียใจก็คือเราจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว เหมือนกินข้าวร้านอร่อย แล้วเขาเลิกขาย จึงเกิดคำถามขึ้นมาในหัวว่า "เราจะเจอคนน่ารักแบบนี้ได้ที่ไหน"