จากกรณีหนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยดังใน จ.นครราชสีมา โดนรับน้องจนเสียชีวิต ไม่รู้ว่าเป็นรายที่เท่าไรในประเทศไทยแล้ว ล่าสุด ญาติมองว่าทำเกินกว่าเหตุ เตรียมแจ้งความดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
ล่าสุด วันที่ 15 มี.ค. 65 ทีมข่าวได้เดินทางมาที่บริเวณทุ่งนาบ้านหนองระเวียง ต.หนองระเวียง อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา จุดเกิดเหตุที่นายพัสยศ ชลภักดี หรือ น้องเปรม อายุ 19 ปี นักศึกษา ปวส.ชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัย จ.นครราชสีมา ได้ถูกรุ่นพี่ปี 2 รับน้องจนเสียชีวิต
นายอุดม เชิดชู อายุ 74 ปี และนางสังวาลย์ เชิดชู อายุ 69 ปี ตากับยายน้องเปรม พร้อมถึงบรรดาญาติได้เดินทางมาที่จุดเกิดเหตุ เพื่อทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณน้องเปรมกลับบ้าน โดยได้มีการนำอาหารเครื่องเซ่นมาไหว้ขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง เพื่อขอให้ดวงวิญญาณของน้องกลับบ้าน รวมถึงมีการนำเสื้อผ้าชุดฟุตบอลสีเขียวที่น้องชอบใส่มาด้วย
จากการสังเกตจุดเกิดเหตุพบว่าเป็นไร่นาที่แห้งเเล้ง พื้นที่กว้างหลายไร่ ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของ จากการสอบถามญาติผู้ตาย คาดว่าเป็นที่นาของญาติของหนึ่งในรุ่นพี่ที่ก่อเหตุ ในช่วงจังหวะที่ยายสังวาลย์กำลังเดินกลับก็ได้มีการบอกเรียกดวงวิญญาณของหลานกลับบ้านด้วย "พัสยศครับ กลับบ้านเรา ไปอยู่กับยายนะครับ"
เวลา 14.30 น. นายเอกชัย ชนภักดี อายุ 55 ปี และนางนิตยา ชนภักดี อายุ 42 ปี พ่อและแม่ของน้องเปรม พร้อมด้วยผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุรพจน์ วัชโรภากุล รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา และศิษย์เก่าสัมพันธ์มหาวิทยาลัย ได้นำร่างของน้องเปรมมาส่งตรวจพิสูจน์หาสาเหตุการตายอย่างละเอียดอีกครั้ง ที่นิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ กรุงเทพฯ ภายหลังจากที่ช่วงเช้าที่ผ่านมาทางครอบครัวได้ติดต่อขอรับศพของน้องเปรมออกมาจากโรงพยาบาลค่ายสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
นายเอกชัย ชนภักดี พ่อของน้องเปรม เปิดเผยว่า สำหรับส่วนตัวก็ต้องการความชัดเจนในปมสาเหตุการเสียชีวิตของลูกชาย ตนเลยตัดสินใจประสานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อนำร่างของลูกลายมาหาสาเหตุอีกครั้งที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจอีกครั้ง ส่วนเมื่อถามถึงเหตุกที่เกิดขึ้นกับทางลูกชาย ยังไม่ทราบข้อมูลที่ชัดเจน ทราบแค่ว่าวันนั้นเองทางลูกชายเหมือนจะมีสติฟื้นมาอีกครั้ง ก่อนที่จะสลบไปครั้งที่ 2 ส่วนตัวไม่ทราบว่าโดนเเตะหรือต่อยจนสลบ ในส่วนนี้เองก็ต้องรอผลจากทางเจ้าหน้าที่นิติเวชก่อน
เมื่อถามว่าทางทางผู้ก่อเหตุเองมีการเข้ามาขอขมาและขอโทษ ส่วนตัวให้อภัยหรือไม่ ยืนยันว่ายังไม่ให้อภัย ในใจเชื่อว่าคนที่ทำร้ายน้องน่าจะมีมากกว่า 6 คน ส่วนสาเหตุที่ติดใจก็คงเป็นเรื่องอองการทำร้ายร่างกาย แต่ก็ต้องรอผลทางนิติเวช ส่วนกรณีที่มหาวิทยาลัยออกมาปฏิเสธว่าไม่ทราบเรื่องของการรับน้อง มุมของตนยังไม่ทราบและตอบไม่ได้ ต้องถามทางมหาวิทยาลัย ตนเองก็รอคำตอบจากทางมหาวิทยาลัยเช่นกัน
ส่วนภรรยาของผู้เสียชีวิตเองกำลังตั้งท้องลูกอยู่ด้วย ส่วนตัวก็เพิ่งทราบเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ส่วนความรู้สึกตอนนี้ก็เสียใจ ขณะที่แฟนของลูกชายตนเองก็ยังไม่ได้ทราบรายละเอียด ยืนยันว่าก่อนหน้านี้ทางผู้ตายไม่ได้มีโรคประจำตัวหรือมีอาการป่วยมาก่อน ค่อนข้างเป็นคนแข็งแรงชอบเล่นฟุตบอล นิสัยร่าเริง ตลอดจนไม่เคยทราบว่ามีเรื่องกับรุ่นพี่หรือไม่
นายโฟลวิล อายุ 19 ปี หนึ่งในกลุ่มรุ่นพี่ ปี 2 เปิดเผยว่า เมื่อวันอาทิตย์ได้มีการรับน้องเกิดขึ้น พวกตนทั้ง 27 คน ร่วมกันตัดสินใจให้มีการจัดงานนี้ขึ้น เเม้จะทราบดีอยู่เเล้วว่าทางมหาวิทยาลัยไม่ให้จัดงาน เเต่เนื่องจากเห็นรุ่นพี่ทำมา ก็ไม่โดนอะไร เพราะแอบทำ พวกตนจึงทำบ้าง
โดยสถานที่รับน้องเพื่อนของตนเป็นคนหา เมื่อไปถึงก็ได้มีการจุดธูปขอเจ้าที่เจ้าทาง ก่อนจะเเยกชายหญิง มีรุ่นน้องทั้งหมด 37 คน เเบ่งเป็นผู้ชาย 29 คน ผู้หญิง 8 คน จากนั้นก็จะมาเเยกรุ่นน้องผู้ชายที่มีโรคประจำตัว หรือเคยเกิดอุบัติเหตุ จะเเยกออกไปอีกกลุ่มหนึ่ง ส่วนกลุ่มที่ปกติ รุ่นพี่ที่เป็นคนสั่งการก็จะบอกให้รุ่นน้องแก้ผ้าออกทั้งหมด ก่อนจะมีรุ่นพี่สั่งให้ร้องเพลงของแผนก ถ้าร้องผิดก็จะถูกเตะจากด้านหลัง รวมถึงจะมีการถีบด้านหลัง เวลาน้องร้องเพลงปรบมือด้วย รุ่นน้องบางคนก็ล้ม บางคนก็ไม่ล้ม นอกจากนี้ก็มีการต่อยท้องด้วย พอรุ่นพี่คนเเรกวนครบเเล้ว ก็จะให้รุ่นน้องบางคนที่จุกนั่งพักกินน้ำ เเล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง
ซึ่งรุ่นพี่บางคนก็ต่อยเเรง บางคนก็ต่อยไม่เเรง ส่วนตนที่เป็นหนึ่งในรุ่นพี่ที่ต่อยเท่าที่สังเกตอาการของน้องก็ไม่ค่อยมีใครเป็นอะไร เพราะตนเป็นคนที่ต่อยลำดับที่ 3 หรือ 4 หลังจากตนทำเสร็จ ตนก็ไปนอนพัก จนกระทั่งวนมาถึงรุ่นพี่คนที่ 7 เป็นช่วงที่ต่อยน้องเปรม ตนไม่ได้เห็นเหตุการณ์ เเต่เพื่อนตะโกนบอกว่าน้องเป็นลม พอตนเข้าไปดูก็เห็นว่าน้องปากซีดหน้าซีดหายใจเบา เพื่อน ๆ ของตนจึงพาน้องไปโรงพยาบาล เเต่ตนไม่ได้ไปด้วย เพราะอยู่ดูน้องที่ทุ่งนา หลังจากนั้น ตนจึงได้ตามไปทีหลัง เมื่อตนไปถึงสักพักก็ทราบว่าน้องเสียชีวิตเเล้ว ตนไม่เเน่ใจว่าน้องเสียชีวิตตั้งเเต่ระหว่างทางหรือเสียที่โรงพยาบาล
ทั้งนี้ ตอนที่ตัวเองอยู่ปี 1 ก็เคยถูกรุ่นพี่ที่จบไปแล้วทำแบบนี้เช่นกัน ทั้งแก้ผ้า เตะต่อย ร้องเพลง กลิ้งคลาน เเต่รุ่นของตนมีคนเจ็บเกือบหนัก เเต่ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต จุดประสงค์ของการรับน้องก็เพื่อให้น้องรักเเละสามัคคีกัน ทำให้น้องเชื่อฟัง เวลามาทำกิจกรรมจะได้มาช่วยกัน คล้าย ๆ ละลายพฤติกรรม ตนไม่เคยบอกผู้ปกครองที่บ้านว่าตัวเองก็เคยถูกร้บน้องโหดเช่นกัน เพราะตอนนั้นตนก็กลัวรุ่นพี่ ซึ่งหากไม่เข้ารับน้องก็จะไม่ได้รุ่น เเละพวกรุ่นพี่ก็จะไม่ช่วย ไม่คุยด้วย การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยก็จะลำบาก เเละไม่มีใครกล้าไปแจ้งอาจารย์เกี่ยวกับการร้บน้องนอกระบบ ถามว่าคิดหรือไม่ว่าจะเป็นการส่งต่อวัฒนธรรมรับน้องแบบผิด ๆ ทั้งที่รู้อยู่เเล้วว่าจะมีการบาดเจ็บ ตนยอมรับว่ากิจกรรมรับน้องนี้ พวกตนช่วยกันคิดและตัดสินใจ ยอมรับว่าเคยเห็นข่าวการรับน้องโหดมาบ้าง ก็คิดว่าทำไมถึงโหดร้ายขนาดนั้น เเต่เมื่อตนมาเจอเหตุการณ์ครั้งนี้กับตัวเอง ที่ตัวเองเป็นผู้กระทำ ตนก็ยังมองว่าการกระทำที่ตนทำไปไม่ได้รุนเเรงขนาดนั้น ทั้งที่มีคนตาย
แต่ก็ถือเป็นบทเรียนครั้งใหญ่สำหรับพวกตนทุกคน ถึงเเม้ตนเองจะไม่ใช่คนที่ต่อยน้องเปรมจนสลบ เเต่ตนก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้ที่พาน้องไป ตอนนี้กลัวว่าตัวเองจะถูกดำเนินคดี ผู้ปกครองทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว เเม่ของตนก็เสียใจว่าทำไมจะต้องไปทำแบบนั้น ตนยิ่งรู้สึกผิด เเละอยากจะขอโทษครอบครัวน้องเปรมอีกครั้ง ขอโทษที่พาน้องไป ซึ่งเมื่อวานนี้ตนก็ได้ไปยังจุดเกิดเหตุอีกครั้ง เพื่อขอขมาดวงวิญญาณของน้อง ตอนนั้นตนเองก็เพิ่งจะทราบว่าแฟนของน้องเปรมกำลังตั้งท้อง ตนก็ยิ่งสะเทือนใจเเละรู้สึกผิดมากขึ้น ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้