"เอ๋ ปารีณา" เปิดสาเหตุเศร้า สูญเสีย "คุณพ่อทวี" พ้อแม่ป่วยซ้ำอีก เครียดแบกรับหนี้กว่า 50 ล้าน

27 เม.ย. 67

เอ๋ ปารีณา น้ำตาคลอ เปิดสาเหตุเศร้า สูญเสีย "คุณพ่อทวี" เปิดที่มาหนี้กว่า 50 ล้าน พ้อแม่ป่วยซ้ำอีก - แบกรับความเครียด



เอ๋ ปารีณา เปิดใจครั้งแรก สูญเสียคุณพ่อ “ทวี ไกรคุปต์” ไปอย่างไม่มีวันกลับ พร้อมเปิดสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ ไม่เคยบอกคุณพ่อมาทั้งชีวิต ย้อนเล่าโมเมนต์ความน่ารักของคุณพ่อที่มีต่อลูกสาว อัปเดตคดีรุกป่า ศาลตัดสินต้องชดใช้เงินกกต.กว่า 7.6 ล้านบาท และขอเคลียร์ใจหลังมีหนี้สินมากกว่า 50 ล้าน ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow 

เอ๋ ปารีณา

ใครได้เห็นภาพในงาน จะมีนักการเมืองหลายท่านที่มา บางคนเคยห้ำหั่นทางการเมืองกันมาก่อน ความรู้สึกที่แต่ละท่านมาร่วมงานและแสดงความเสียใจ เอ๋รู้สึกอย่างไร?
“รู้สึกซาบซึ้งใจ และดีใจมากๆ ค่ะ เพราะช่วงเวลาที่เราบอบบางที่สุด คนที่เราเคยห้ำหั่นมา เดินทางมาที่บ้าน ซึ่งไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย อยู่ที่ราชบุรี ก็ไกล ท่านก็เสียสละเวลาเดินทางมาร่วมไว้อาลัยให้กับคุณพ่อ ก็ปลื้มใจอย่างสุดซึ้งเลยค่ะ”

ภาพกอดให้กำลังใจ เท่ากับปลดล็อกมั้ย?
“ถ้าพูดถึงท่านเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ปกติท่านเป็นคนใจดีอยู่แล้ว แต่ด้วยช่วงนั้นเป็นบทบาทของฝ่ายรัฐบาล ก็ต้องเป็นลักษณะที่ทุกคนเห็นอยู่ วันนี้เอ๋ได้ยุติบทบาททางการเมืองไปแล้ว คุณพ่อก็เสียแล้ว ท่านก็อุตส่าห์เดินทางมา ก็เป็นความรู้สึกที่ดีที่สุดเลยค่ะ”

วันนั้นท่านเสรีพูดอะไร?
“ท่านขอให้โชคดี ขอให้หมดทุกข์หมดโศกค่ะ”

ยังมีส.ส.ท่านอื่นอีกด้วย จากพรรคก้าวไกลเองก็มีให้กำลังใจ?
“อย่างคุณเจี๊ยบ ก้าวไกล คุณเจี๊ยบก็โทรศัพท์เข้ามา แล้วก็มี ส.ส. จ.จาน ดอนเมือง ไลน์เข้ามา มีคุณวิโรจน์ก็ไลน์เข้ามา คุณวิโรจน์นี่โต้ตอบกันเยอะเหมือนกัน ก็ดีใจมากๆ เพราะชื่นชมคุณวิโรจน์อยู่แล้ว คุณเติ้ล ก้าวไกลก็มา เขาเป็นส.ส.พรรคก้าวไกลหนึ่งเดียวที่คุยกับเอ๋ในช่วงยุคนั้น ปกติก้าวไกลเขาไม่คุยกับเอ๋แต่คุณเติ้ลเจอก็คุย และสามารถกินข้าวด้วยกันได้ เขาเป็นคนน่ารัก แต่คุณเจี๊ยบเอ๋มารู้จักภายหลัง หลังจากเอ๋ยุติบทบาททางการเมืองไปแล้ว พอไปสัมผัสคุณเจี๊ยบ บางครั้งเราเห็นคนอื่นตามสื่อมวลชนหรือโซเชียล ทั้งดีและไม่ดี ก็ฝากว่าอย่าตัดสินคนด้วยสื่อมวลชน ถ้าไม่ได้สัมผัสเขาจะไม่รู้เลยว่าเขาเป็นคนจิตใจดีขนาดไหน”

เอ๋ ปารีณา

อยากบอกอะไรคนที่มาร่วมงานคุณพ่อ?
“เอ๋อยากขอบคุณจากใจเลย ที่มาร่วมไว้อาลัยให้คุณพ่อเอ๋เพราะตอนนี้เอ๋ก็ไม่ได้มีประโยชน์ ไม่ได้เป็นนักการเมืองอะไรแล้ว ทุกคนที่เดินทางมาในวันนี้ ก็เดินทางมาด้วยจิตใจบริสุทธิ์ เดินทางมาด้วยความตั้งใจที่จะให้กำลังใจ แสดงความเสียใจ และไว้อาลัยคุณพ่อของเอ๋ ไม่ว่าเพื่อนคุณพ่อที่เดินทางมาจากจังหวัดไกลๆ ทางภาคใต้ ภาคอีสานต่างๆ บางคนก็รู้จัก บางคนก็ไม่รู้จัก นั่งคุยกับเอ๋เล่าเรื่องคุณพ่อให้ฟังแล้วร้องไห้ นั่งร้องไห้มากกว่า 10 วันแล้ว ไม่เคยหยุดร้องไห้แม้แต่วันเดียว การที่มีผู้คนเดินทางมามากๆ และพูดคุยเรื่องคุณพ่อให้ฟัง บางคนก็พูดถึงว่าเขาพูดถึงลูกๆ อย่างไร ฟังแล้วก็ร้องไห้ คิดถึง คนที่มาคือคนที่มีความตั้งใจจริงๆ แต่อย่าลืมว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป คนที่ไม่มาก็ไม่ได้แปลว่าไม่ได้รักคุณพ่อ หรือไม่ได้ผูกพันกับเอ๋ แปลว่าเขาไม่ว่างจริงๆ เพราะเขาต้องไปทำงานด้วย เอ๋จึงไว้ศพถึง 7 วัน เพื่อเปิดโอกาสต้อนรับทุกคนที่อยากมาพบคุณพ่อ มาไว้อาลัย”

อาการคุณพ่อก่อนเสียชีวิต เป็นเพราะอะไร?
“ด้วยวัย ความชราภาพ เป็นเรื่องปกติของผู้สูงวัยทุกท่าน จะมีอาการเดียวกัน คุณพ่อเป็นคนแข็งแรง มีการออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร ออกกำลังกายอย่างเคร่งครัด มีการพบหมอเพื่อตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ แต่ทั้งนี้ความชราภาพ ก็ทำให้สิ่งต่างๆ ในร่างกาย ทำงานไม่สมบูรณ์ เบื้องต้นคุณพ่อล้มครั้งที่หนึ่งในห้องน้ำ ล้มเล็กน้อย แต่ด้วยวัยก็ทำให้สะโพกหัก แต่ไม่มีอันตรายอะไร พอล้มครั้งที่สอง คุณพ่อล้มในห้องน้ำเช่นเดียวกัน ก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ปกติเอ๋กับคุณพ่อไม่คุยเล่นกันในโทรศัพท์จะคุยธุระกันเท่านั้น

แต่วันนึงเรามีธุระกันมากกว่า 50 เรื่อง ก็เหมือนคุยกันทั้งวันอยู่แล้ว อยู่ดีๆ ตอนหกโมงเช้า เอ๋โทรไปหาคุณพ่อ อยากคุยเล่น คุณพ่อไม่รับ คุณพ่อโทรกลับมาตอน 8 โมงเช้า ถามว่าใครครับ พอบอกว่าเอ๋ค่ะ ลูกมีอะไรมั้ย เอ๋บอกไม่มี พ่อก็บอกว่าแต่พ่อมี พ่อล้ม เอาเฮลิคอปเตอร์มารับพ่อด่วนเลย พ่อยังไม่อยากตาย เพราะเลือดเต็มเลย เอ๋ก็บอกว่าที่ไหน เขาบอกในห้องน้ำ เอ๋ก็บอกว่าอีก 5 นาทีเดี๋ยวเอ๋โทรกลับ เอ๋ก็โทรหาคนที่อยู่ใกล้ที่สุดไปรับคุณพ่อทันทีเพื่อส่งรพ.ส่งไกลหน่อยที่ศิริราช ซึ่งเป็นรพ.ที่คุณพ่อและเอ๋ไว้ใจ เอ๋ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยากให้การวินิจฉัยเป็นความสบายใจของเอ๋ด้วย ระหว่างการเดินทางคุณพ่อก็โทรหาเอ๋เรื่อยๆ จนถึงรพ.

ตอนนั้นเอ๋อยู่กาญจนบุรี ก่ออิฐทำเล้าไก่ ก็ขับรถไปรพ. ช้ากว่าทีมงานเอ๋ 30 นาที หมอก็ขอซีทีสแกน เอกซเรย์หลายอย่าง หลังมีการตรวจสอบทุกอย่าง ปรากฏว่าโหนกแก้มคุณพ่อหัก ก็เลยตรวจตาต่อ ไม่มีผลต่อการมองเห็น มีรูประมาณ 1 เซนฯ ที่สมอง ทำให้เลือดไหลทางสมองอยู่ คุณพ่อเลยขอให้แอดมิตอีก 1 วัน ถ้าเลือดหยุดไหลก็กลับบ้านได้ ถ้าไม่หยุดไหลก็ต้องดูต่อว่าจะรักษายังไง ส่วนเรื่องหัวใจ ส่วนใหญ่คนเรามี 3 เส้น คุณพ่อเหลือเส้นเดียว แต่เส้นนี้แข็งแรงมาก

ซึ่งสายไฟหัวใจมันขาดหมด ถามว่าจะทำยังไง หมอก็บอกว่าจะทำให้หัวใจเต้นช้าลงจนหยุดไป คุณพ่อก็บอกว่าแล้วมีวิธีอะไรมั้ย ก็ยังไม่มี เป็นเรื่องความชราภาพ แต่ตรวจอื่นๆ แข็งแรงมาก มีหัวใจ อยู่ที่เวลา คุณพ่อบอกว่าไม่แน่ใจว่าลื่นหรือเป็นลมในห้องน้ำ เพราะผมระวังมาก ไม่น่าลื่น คุณหมอบอกว่าเดี๋ยวฝังชิฟในหัวใจเพื่อทำการบันทึกว่าเวลาที่ล้ม ครั้งต่อไปจะรู้เลยว่าเกิดจากหัวใจหรือเปล่า คุณพ่อบอกว่าฝังไปแล้วรักษาได้มั้ย หมอบอกว่าไม่ได้รักษา แต่จะรู้ว่าสาเหตุมาจากตรงนี้หรือไม่ พ่อบอกว่าถ้ารักษาไม่ได้ ไม่ทำ พ่อแก่แล้ว ห้ามเจาะ ห้ามผ่า ห้ามอะไรเลย อายุขนาดนี้แล้วอย่าทำ ถ้าผ่าแล้วเดี้ยงไป กลับมาเดินเหินไม่ได้ พ่อก็ไม่ค่อยอยากอยู่เท่าไหร่แล้ว ก็ห้ามทำ

วันรุ่งขึ้นซีทีสแกนครั้งที่สอง เลือดหยุดไหลก็กลับบ้าน ครั้งที่สามคุณพ่อก็ไปดูคนงานทุบบ้านเพื่อเตรียมขายที่ดินที่กรุงเทพฯ แล้วเกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ไม่มีอะไร กลับบ้านไป และครั้งสุดท้ายคือรอบนี้ เป็นรอบที่สี่ คุณพ่ออยู่บ้านพักที่สวนผึ้งแล้วเป็นลมไป คนอยู่รอบๆ พยายามปฐมพยาบาล เรียกรถพยาบาลทันที พอรถพยาบาลมาถึง ก็มีการปั้มหัวใจ ใส่เครื่องช่วยหายใจ นำส่งรพ. พอถึงศิริราช ศิริราชบอกว่าต้องผ่าตัดเปิดกะโหลก เพื่อเอาเลือดออก มีเลือดคั่งในสมอง

แต่คุณพ่อสั่งเอาไว้ว่าห้ามผ่า คุณหมอบอกว่าไม่ผ่าคือตายอย่างเดียว ก็เลยต้องผ่า พอผ่าเสร็จ คุณหมอบอกว่าคุณพ่อมีสภาวะสมองตาย ถ้าครบ 24 ชม. ทางแพทยสภาถือว่าเป็นผู้เสียชีวิต สมองไม่ได้สั่งงาน ไม่ตอบสนองอะไร แต่คุณหมอบอกว่าด้วยเทคโนโลยีก็สามารถรักษาชีพจรขึ้นมา

โดยการอัดยาเข้าไปต่างๆ เวลาความดันลด หัวใจจะหยุดเต้นก็อัดยากัน จนตอนหลังเตรียมทำใจแล้ว ก็บอกจะเอาคุณพ่อกลับบ้านแล้ว คุณหมอบอกว่าส่งเข้าบ้านไม่ได้ ต้องส่งระหว่างรพ. เลยส่งไปรพ.ราชุบรี เพื่อให้ใกล้บ้าน แล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน พอถึงรพ.ราชบุรีปุ๊บ วันแรกที่มาถึง ไม่ได้ให้ยาอะไรเลย จากให้ยาหนักๆ ชีพจรปกติมากๆ ก็อเมซิ่ง ตกใจมาก คิดว่าคุณพ่อน่าจะฟื้นแล้วแหละ แต่คุณหมอที่ราชบุรีบอกว่าไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้ เป็นการรออย่างเดียวแล้ว แต่ชีพจรเต้นดีโดยไม่ใช้ยากระตุ้นเลย ก็เป็นสภาพร่างกาย เพราะออกซิเจนมันเป่าอัดเข้าไปในหัวใจก็ดีขึ้น วันต่อมาก็เริ่มไม่ดีแล้ว และคุณพ่อก็จากไป”

เอ๋ ปารีณา

ถือว่าเราทำเต็มที่ ทำดีที่สุดแล้ว ณ วินาทีที่รู้ว่าคุณพ่อไม่อยู่กับเราแล้ว?
“ประมาณวันที่ 11 หัวใจก็แตกสลายค่ะ คือเราน่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำด้วยกันเยอะกว่านี้”

มีลางสังหรณ์?
“คุณพ่อมีพฤติกรรมแปลกมาก คุณพ่อออกเดินทางเพื่อไปหาทุกคนเลย ไปหาแม้กระทั่งคนขับรถเก่าที่เขาออกไป เพราะเขามีงานที่ดีกว่านี้ ไปชวนคนสนิทเตรียมไปพัทยาหลังสงกรานต์ เพื่อไปดูอัลคาซ่า ไปหาคุณแม่ซึ่งหย่าร้างไปนานแล้ว ไปหาน้องชายที่อยู่ลพบุรี ไปนอนอยู่หนึ่งคืน ไปหาแม้กระทั่งสามีเก่าของเอ๋คุณพ่อบอกว่าอยากไปให้กำลังใจค่ะ”

มีอะไรติดค้าง?
“ค้างเยอะค่ะ เอ๋ควรมีเวลากับคุณพ่อมากกว่านี้ ตอนเด็กๆ คุณพ่อไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน คุณพ่อทำงาน แม่เลี้ยงลูกอย่างเดียว พอเรียนจบแล้วย้ายมาเรียนที่เมืองไทย ตอนนั้นติดตามคุณพ่อไปทุกหนทุกแห่ง เวลาถ่ายรูปคุณพ่อจะติดเด็กคนนึงอยู่ข้างหลังนั่นคือเอ๋ เราจะห้อยไปด้วยทุกที่ เวลาคุณพ่อลงใต้ไปดูเรื่องกุ้งที่ปัตตานี เราก็ไปด้วย เหมือนเป็นตุ๊กตาหน้ารถ ไม่ได้ทำอะไรเลย มีหน้าที่กินข้าวและไปเป็นเพื่อนพ่อ นั่งดูพ่อทำงาน แค่นั้นเอง ไม่ได้ดูแลอะไรเลย แต่เชื่อว่าคุณพ่อน่าจะภูมิใจแม้แต่เรื่องเล็กน้อย ตอนนั้นเอ๋กลับมาเมืองไทยก็ไปประกวดนางสาวไทย ประกวดเสร็จยังอยู่ปัตตานีกับคุณพ่อ พอเจอคนรู้จัก คุณพ่อก็ไขกระจกลง แล้วพูดว่าลูกสาวผมไปประกวดนางสาวไทยมาครับ ทำแบบนี้ตลอดทาง เป็นเดือนๆ

ซึ่งเอ๋อาย แต่พอย้อนกลับไปคิด แม้แต่เรื่องเล็กคุณพ่อยังภูมิใจ ต่อมาคุณพ่อชวนพี่ชายลงส.ส. พี่ชายไม่สะดวก ไม่อยากลง น้องชายอายุไม่ถึง คุณพ่อมาถามเอ๋ เอ๋เรียนดร.อยู่ที่ธรรมศาสตร์ ตอนเอ็นติดย้ายมาเรียนเมืองไทย เอ๋ขอพ่อหนึ่งอย่างคือเอ๋อยากซื้อโต๊ะที่เอ๋ชอบ เอ๋ไปเดินที่บางโพธิ์ เจอโต๊ะตัวนึง ราคา 110,000 บาท เอ๋ก็บอกว่าเอ๋อยากได้โต๊ะใหญ่ๆ ขนาดนี้ ลายนี้ได้มั้ย พ่อก็บอกว่าขอเหตุผล เพราะมันแค่โต๊ะนะลูก ก็บอกว่าเพราะหนูต้องอยู่ที่โต๊ะนี้อีกหลายปี เอ๋ต้องอยู่ที่ห้องสมุดและที่โต๊ะเพื่ออ่านหนังสือ อยู่สองที่ จนวันที่พ่อมาถามว่าเอ๋อยากลงส.ส.มั้ย เอ๋ก็ลงค่ะ พอลงงานก็เยอะมาก เรียนไปได้สามเทอมเท่านั้นก็ดร็อปไปเลย

พอเป็นส.ส.เลือกตั้งเสร็จ ชนะสมัยแรก คุณพ่อก็ช่วยหาเสียง คนไม่รู้จักเลย เวลาไปห้อยตามคุณพ่อ เจอนักข่าวที่รู้จักคุณพ่อ เขาก็จะถามว่าใคร พ่อก็บอกว่าลูกสาว เขายังทำเสียงเหมือนไม่ใช่ลูก อย่างอื่นหรือเปล่า แต่พอประกวดนางสาวไทย คนเริ่มรู้แล้วว่าคุณทวีมีลูกสาว ตอนหาเสียงปารีณาคนไม่รู้จักเลย เรียกผิดๆ ถูกๆ ปวีณาบ้าง อะไรบ้าง แต่พอลูกสาวทวี รู้จักหมดเลยในเขตเลือกตั้ง ก็หาเสียงด้วยประโยคนี้เลย จนชนะเลือกตั้ง

คุณพ่อก็ช่วยด้วย และวันแรกที่ไปประชุมสภา คุณพ่อก็ไปส่งด้วยตนเองเข้าสภา ทำงานวันแรกมีคนถ่ายรูปแล้วเอามาให้ ตั้งแต่ได้รูปนั้นมา ในบ้านเอ๋จะมีรูปลูกชายเยอะมาก แต่บนโต๊ะเอ๋จะมีรูปเดียวคือรูปคุณพ่อกับเอ๋ ที่เลือกไว้บนโต๊ะทำงาน เพราะว่าเอ๋จะได้ขยันเหมือนพ่อ”

เอ๋ ปารีณา

เอ๋ไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากคุณพ่อ?
“ใช่ค่ะ ตลอดระยะเวลาเลยที่ได้อยู่และไม่อยู่กับคุณพ่อ พอเป็นส.ส. จากได้ห้อยๆ ตามไปก็ไม่ได้ห้อยแล้ว เพราะเราต้องประชุมสภา ไปเผาศพ เราจะเป็นทีมกัน ก็ทำให้ได้เจอกันน้อย แต่โทรศัพท์กัน”

ไม่ได้บอกรัก แต่การกระทำคือรักมาก?
“ใช่ แม้แต่การเมืองคุณพ่อก็ไม่อยากให้เลิก คุณพ่อบอกว่ากว่าจะสอนมาได้ขนาดนี้ ทำไมเลิก อยากให้เล่น แต่เอ๋บอกว่าเอ๋ช้ำมาก เอ๋ขอพักผ่อน คุณพ่อก็ไม่ได้พูดอะไร เอ๋ไปทำเล้าไก่ คุณพ่อก็ขับรถไกลๆ จากราชบุรีมากาญจนบุรี เพื่อมาดูเอ๋ก่อสร้าง คุณพ่อจะสอนด้วยวิธีก่อสร้าง ว่าทำยังไงให้ประหยัด ก็ตามมาช่วยเหลืออยู่ แต่ไม่ได้บอกรักเอ๋”

น้อยใจมั้ย?
“วิธีการสอนของคุณพ่อ จะมีคำพูดที่ไม่สุภาพ มีเสียงที่ดังเยอะ เป็นสไตล์ เพราะคุณพ่อก็ลูกชาวบ้าน แต่ขยันหมั่นเพียร สร้างเนื้อสร้างตัวจนได้เป็นรัฐมนตรี คุณพ่อจะเป็นคนขยันสุดๆ ในการทำงาน เวลาสอนลูกแกก็จะสอนให้จดจำเข้าไปในหัวเลยค่ะ บางครั้งสอนมากๆ เราก็หนัก น้อยใจ แต่เราฟัง เพราะถ้าไม่ฟัง เราไม่สามารถมาจุดนี้เลย”

จนเวลาผ่านไป ก็ทำให้ได้รับรู้ว่าคุณพ่อรักเรามาก เพราะเราไปเห็นกระจก มันคืออะไร?
“สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราคิดได้ ณ ป่านนี้คือลูกชายด้วย ยืนร้องไห้ที่รพ.ศิริราช ลูกชายมาด้วยปิดเทอม เราก็ร้องว่าเอ๋รักพ่อๆ ลูกชายก็สะกิดว่าแม่ แม่ด่าหนูทั้งวันเลย แม่บ่นหนูทั้งวันเลย เจอหน้าไม่ได้ทำอะไรก็ว่าทั้งวันเลย น้องเก้ายังว่าแม่รักน้องเก้า เราก็เลยอึ้งไปเลย ว่าเออ จริงๆ ที่คุณพ่อว่าทั้งวันโดยไม่มีเหตุผล ก็คงเหมือนกับที่เราเป็นแม่คน สิ่งที่ลูกพูดเราก็คิดว่าเราคิดไม่ได้ เด็ก 14 คิดได้เยอะกว่าเราอีกนะ เราแย่ที่สุดในโลก เอาอารมณ์ ใครเป็นลูกก็ต้องฟังเรื่องนี้ด้วยนะ เขาด่าเพราะเขารัก”

เอ๋ ปารีณา

เรื่องกระจก?
“เราปลูกบ้านที่โพธาราม คุณพ่อก็ซื้อตุ๊กตาฝรั่ง แล้วบอกว่าผู้หญิงต้องชอบแบบนี้นะ เป็นรูปปั้นอยู่ในบ้าน คุณพ่อบอกว่าเพื่อนพ่อแนะนำให้ซื้อนำเข้ามา ชอบมั้ย เอ๋บอกว่าสวยมากเลยค่ะ คุณพ่อก็บอกว่าว่าแล้วต้องชอบ เอ๋ก็ชอบส่องกระจก แต่งหน้าทำผม บางทีดูกระจกเล่น คุณพ่อก็ซื้อกระจกอันนึงมาเป็นดอกไม้วงกลม รีๆ ยาวๆ ใหญ่ๆ คุณพ่อบอกว่าผู้หญิงต้องมีกระจกในห้อง เวลาอาบน้ำแต่งตัว เขาซื้ออีกอันเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง เอ๋ชอบแบบนี้

ตอนเอ๋ยังไม่เลิกกับสามีเก่า เขาทำบ้าน เอ๋ก็บอกให้เอาโต๊ะเครื่องแป้งใส่ไว้มุมนี้ พอเขาทำแบบเสร็จ เอ๊ะ ทำไมไม่มีโต๊ะเครื่องแป้งสักที ปราฎว่าไม่ได้แพลนว่าเอ๋จะอยู่ เอ๋ก็ย้อนคิดเรื่องเก่าๆ บางทีคนที่เขาอยู่กับเรา เขาจะรู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร อย่างคุณพ่อใส่มาเต็มที่เลยกระจก จนคุณพ่อเสียชีวิต เอ๋เข้าไปที่บ้านพักที่สวนผึ้ง ไปเจอกระจกอันนึง ไม่แพง เป็นกระจกไม้ มีดอกไม้สองอัน เอ๋มองว่าคุณพ่อจะซื้อมาทำอะไร เป็นกระจกโบราณ เอ๋ก็นั่งคิดว่าหรือเขาซื้อมาให้เรา แล้วลืมให้ เพราะอายุเยอะแล้ว ก็ร้องไห้กับกระจก”

อยากบอกอะไรท่าน?
“เอ๋รักพ่อค่ะ และคิดถึงพ่อ (เสียงสั่นน้ำตาคลอ)”

เรื่องที่ศาลตัดสินให้ชดใช้กกต.7.6 ล้าน?
“ตอนนี้ก็เป็นคำพิพากษาชั้นต้น ก็ขอขยายเวลาการอุทธรณ์ครั้งที่หนึ่ง อนุญาต พอดีไปดูแลคุณพ่อ จัดงานคุณพ่อ เลยขอขยายเวลาครั้งที่สอง ยังไม่ทราบว่าจะอนุญาตหรือไม่ ถ้าไม่อนุญาตก็ยื่นอุทธรณ์วันที่ 11 พ.ค. นี้”

นอกจากคดีนี้แล้ว มีเรื่องราวหนี้สินอีก ประมาณ 50 ล้าน ที่มาที่ไปมาจากไหน?
“มากกว่า 50 ล้านค่ะ ก็ต้องหาอาชีพค่ะ มันล้มละลายได้ แต่จะไม่ล้ม จะทำงานใช้”

เอ๋ ปารีณา

มันเริ่มจากไหน?
“เริ่มจากไปกู้เงินธนาคารธกส. เพื่อเลี้ยงไก่ค่ะ กู้มา 23 ล้าน ตอนหลังคุณพ่อก็มาช่วยชำระให้ 5 ล้านก็เหลือ 17 ล้าน ต่อมาก็มีการกู้เงินนักการเมืองท่านนึง เป็นที่เคารพรักของครอบครัวเอ๋เอ๋กู้ให้คนในครอบครัวอีกคนนึง พอถึงเวลาเราเป็นคนกู้ ก็ต้องรับผิดชอบ ซึ่งท่านก็เมตตาเอ๋มาก ไม่คิดดอกเบี้ย เพราะท่านรู้ว่าเอ๋ไม่ได้ใช้แม้แต่บาทเดียว แล้วมีเรื่องกกต.เข้ามาอีกส่วนนึง”

ปกติมีคุณพ่อให้กำลังใจ พอถึงเวลานี้เหมือนเสาหลักจากไปแล้ว ให้กำลังใจตัวเองยังไง?
“ได้แต่ร้องไห้ (หัวเราะ) มันเป็นภาระที่เหมือนเราคนเดียวรับผิดชอบ แต่คุณพ่อก็มีทรัพย์สินเยอะ แต่เป็นประเภทที่ดินเยอะมาก แต่ไม่ใช่ที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ ฉะนั้นมันก็จะมีแค่ที่ดินผืนเดียวอันนี้แหละที่มีปัญหา เหมือนที่ดินผืนเดียวพังชีวิตไปเลย เราพยายามทำกินบนที่ดินต่างๆ ต่อไป”

ลูกชายให้กำลังใจยังไง?
“โอ้โห สำคัญที่สุดเลยช่วงนี้ ขณะเดียวกันคุณแม่ก็ไม่ค่อยสบาย เสาร์อาทิตย์ต้องส่งไปอยู่กับคุณยาย เพราะคุณยายไม่ยอมกินข้าว น้องเก้าไปเขาจะมีเทคนิคให้คุณยายกินข้าว”

แบกรับความเครียด เสียคุณพ่อ เรื่องคดี หนี้สิน คุณแม่ป่วยอีก?
“ปีนี้เป็นปีทองเลยค่ะ ปีที่แล้วก็ปีทอง ไหนจะตัดสินศาล จนคุณพ่อเสียชีวิตเลย หวังว่าจะไม่มีอะไรแล้ว หรือถ้ามีอีกก็ต้องว่ากันไป”

มีคำพูดลูกชายให้กำลังใจเรามั้ย?
“ลูกจะบอกว่าแม่เก่ง แม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่างอยู่แล้ว คนเราต้องอยู่ด้วยความหวัง ไม่ต้องร้องไห้ เขาน่ารักค่ะ เราก็จะยิ้ม แต่คุณพ่อจะพูดคำว่าปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้เครียด เช้ามาก็ปัญหาเต็มไปหมด แก้ทีละอย่างไป”

เอ๋ ปารีณา

คดีอยากให้ไปในทิศทางไหน?
“อยากได้รับความยุติธรรมค่ะ อะไรที่เราผิดเราจะสารภาพทันที แต่อะไรไม่ผิดก็จะสู้ถึงที่สุด และหวังว่าจะได้รับความยุติธรรม และยังเชื่อมั่นในความยุติธรรมอยู่ค่ะ”

จากนี้วางแผนอนาคตยังไง?
“เอ๋อยากพักผ่อน และอยากเป็นเกษตรกรแบบคุณพ่อ อยากเลี้ยงไก่ ก่อสร้างเล้าไก่ให้เสร็จ ซึ่งที่นี่เอ๋ลงมือเอง ฉาบปูนเองด้วย (หัวเราะ) ก็ตั้งใจมาก อยู่กับลูกน้องเยอะ แต่อีกนานกว่าจะเสร็จ กำลังทำ เพื่อนบ้านก็เพิ่งสร้าง แต่เขาจะเสร็จแล้ว เขาเป็นเหมาจ้าง ของเราทำกันเอง ยกตัวอย่างคุณธัญญ่าสร้างบ้านก็จ่ายเป็นงวด แต่ทุนน้อยก็ทำเอง เขาก็คิดเป็นตารางเมตร ทำเองก็ถูก ก็ทำไปเรื่อยๆ”

 เอ๋ ปารีณา

 

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส