โควิด-19 สร้างความเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก ส่งผลกระทบในทุกด้านทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงรูปแบบการใช้ชีวิตของเราที่ต้องเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า “New Normal” และกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุค “Next Normal” องค์กรต่างๆ ต้องหันมาทำการศึกษาและวิจัยเพื่อให้สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายที่เกิดขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่มี “คน” อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
“กล้า” ที่จะทลายกรอบความคิดแบบเดิมๆ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า แวดวงวิทยาศาสตร์และการดูแลสุขภาพนั้น ถูกมองว่าเป็นสังคมที่ชายเป็นใหญ่มาโดยตลอด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แอสตร้าเซนเนก้า บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำของโลก จึงได้มีการกำหนดแนวทางในการสร้างความเสมอภาคในองค์กร เพื่อทลายกรอบความเชื่อในรูปแบบเดิมๆ เกี่ยวกับวงการวิทยาศาสตร์ อาทิ การส่งเสริมความหลายหลายและการยอมรับความแตกต่างของแต่ละบุคคลให้เกิดขึ้นภายในองค์กร รวมไปถึงการส่งเสริมให้เกิดความกล้าแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์
ด้วยตระหนักดีว่าการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีความแสมอภาคและการสนับสนุนและยอมรับในความแตกต่าง จะช่วยก่อให้เกิดพลังบวกในการทำงาน สามารถสร้างแรงขับเคลื่อนให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ หรือแม้แต่การแก้ปัญหาที่แสนจะท้าทายของโลก แอสตร้าเซนเนก้า จึงได้มีการวางเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่คนในองค์กรจะรู้สึกปลอดภัยและมีพลังใจในการทำงาน ทำให้พวกเขารู้สึกว่าทุกคนคือส่วนสำคัญในความสำเร็จขององค์กร ไม่ว่าพวกเขาจะมีพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมแบบไหน หรือเป็นเพศอะไร เพราะความหลากหลายทางความคิดคือจุดเริ่มต้นของความคิดริเริ่มต่างๆ ที่ทำให้คนในองค์กรสามารถเติบโตและเรียนรู้ไปด้วยกัน
เจมส์ ทีก ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวกับเราว่า “ความเสมอภาคเป็นสิ่งที่แอสตร้าเซนเนก้าให้ความสำคัญมาโดยตลอด เราเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร พนักงานทุกคนมีโอกาสในการเติบโตในองค์กรเท่ากัน เราอยากให้พนักงานสามารถแสดงศักยภาพของพวกเขาออกมาได้อย่างเต็มที่ จึงมุ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่ปราศจากการมีอคติในสถานที่ทำงานและการมอบโอกาสแก่ทุกคนให้สามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจขององค์กร ที่แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย เรามีพนักงานผู้หญิงกว่า 71.6% และสมาชิกกว่า 50% ของทีมบริหารแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย นั้นเป็นผู้หญิง
เจมส์ กล่าวต่อว่า “ในปี 2564 แอสตร้าเซนเนก้ามีสัดส่วนพนักงานหญิงในทวีปเอเชีย ไม่รวมประเทศอินเดีย สูงถึง 57% และ ระดับผู้จัดการอาวุโสขึ้นไปเป็นพนักงานผู้หญิง ถึง 53% นอกจากนี้ อัตราการเข้าทำงานของพนักงานใหม่ที่เป็นผู้หญิงก็มีสัดส่วนสูงถึง 62% ขณะที่อัตราส่วนของพนักงานผู้หญิงที่ได้เลื่อนตำแหน่งนั้นมีสูงถึง 64% และในระดับโกลบอลนั้น แอสตร้าเซนเนก้า ตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2568 สัดส่วนของผู้บริหารแอสตร้าเซนเนก้าตั้งแต่ระดับกลางขึ้นไปทั้งชายและหญิงจะต้องเท่าเทียมกันอีกด้วย”
การผลักดันศักยภาพของสตรีทั้งในปัจจุบัน และอนาคต
ในปี 2564 แอสตร้าเซนเนก้า คือ 1 ใน 325 บริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีผลงานโดดเด่นด้านการสนับสนุนให้เกิดความเสมอภาคทางเพศ จากรายงาน LP Gender-Equality Index 2021 ของสำนักข่าว Bloomberg และยังได้รับการจัดอันดับโดยวารสาร Hampton-Alexander Review ว่าเป็นบริษัทยาใน The Financial Times Stock Exchange 100 หรือ FTSE 100 ที่ให้ความสำคัญกับบทบาทของผู้บริหารหญิงมากที่สุด
ภญ. ณัฐพร สุนทรสัจ ผู้จัดการหน่วยธุรกิจกลุ่มยามะเร็ง ผู้ที่ทำงานกับแอสตร้าเซนเนก้ามากว่า 2 ทศวรรษ กล่าวกับเราว่า “ดิฉันได้เห็นบทบาทของผู้หญิงที่เปิดกว้างมาก มีการพัฒนาและส่งเสริมความรู้ใหม่ ๆ ให้กับบุคคลากรทางการแพทย์ และวงการยาในประเทศไทย ตลอดการทำงานกว่า 20 ปีกับแอสตร้าเซนเนก้า ดิฉันได้เห็นการพัฒนายากลุ่มใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นเรื่อยๆ เช่น ยารักษาโรคมะเร็ง เป็นต้น ซึ่งเมื่อก่อนยาเหล่านี้มีน้อยมาก เราได้เห็นว่าสิ่งที่เรามุ่งมั่นพัฒนานั้นเป็นประโยชน์ และสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
“ความท้าทายอย่างแรกคือการทำงานในวงการยา และการดูแลสุขภาพในปัจจุบัน ก็คือการทำงานที่มีความแตกต่างกันทางความคิด แต่ท่ามกลางความแตกต่างนั้นมีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาในทิศทางที่ดีขึ้น เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ การมุ่งเน้นให้คนไทยสามารถเข้าถึงยา และนวัตกรรมด้านสุขภาพได้มากขึ้น เป็นต้น และการที่พนักงานจะสามารถคิดหาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพและช่วยให้คนไข้ได้รับการรักษา อย่างทั่วถึงทุกกลุ่ม ทุกเพศ และ ทุกวัย และเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องโดยเสมอภาคกัน
ก็คือการให้โอกาสเปิดกว้างทางความคิด มุ่งเน้นให้เกิดความเสมอภาค และให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าของผู้หญิงในที่ทำงานในสัดส่วนที่เท่าเทียมกับเพศชาย เพราะเมื่อบทบาทของผู้หญิงในวงการนี้มีความเท่าเทียมกัน ก็จะกระตุ้นให้เกิดความแตกต่างทางความคิด และอิสระในการทำงาน ทำให้เกิดแรงจูงใจในการทำงาน เช่นถึงฉันจะเป็นผู้หญิง ฉันก็ทำได้ จึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเต็มที่” ภญ.กฤตยา จงธนะวณิช ผู้จัดการด้านราคาและการเข้าถึงตลาด กล่าว
ขณะที่ พญ.อรสิริ ปิติสุทธิธรรม ผู้จัดการฝ่ายการแพทย์ กล่าวเสริมว่า “สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจเข้ามาทำงานที่แอสตร้าเซนเนก้าก็เพราะว่าอยากที่จะใช้วิทยาศาสตร์และองค์ความรู้ที่มีสร้างประโยชน์ให้กับคนหมู่มาก และการที่แอสตร้าเซนเนก้ามีจุดยืนที่ชัดเจนในการนำวิทยาศาสตร์มาต่อยอดและพัฒนาการรักษาผู้ป่วย เปิดโอกาสให้เรามองเห็นความเป็นไปได้มากมายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน ดิฉันมีโอกาสทำงานกับคนที่มีความสามารถทั้งในประเทศไทย และในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โดยไม่มีการปิดกั้นทางความคิด การเปิดกว้างให้พนักงานทุกคนสามารถนำเสนอสิ่งที่ตนเองคิดออกมาอย่างเสมอภาคนั้น ทำให้เรามีพลังที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ”
นอกจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรที่มีการเปิดกว้างทางความคิด แอสตร้าเซนเนก้า ยังได้ให้ความสำคัญในการสนับสนุนความเสมอภาคระหว่างเพศและสิทธิของเด็กผู้หญิงในสังคม ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในอนาคต ผ่านโครงการสร้างเสริมสุขภาพที่ดีในเด็กและเยาวชน หรือ Young Health Programme (YHP) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง แอสตร้าเซนเนก้า และ องค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนล โดยในปีล่าสุด ได้มีการจัดกิจกรรม #GirlsTakeOver เพื่อรณรงค์ด้านการยอมรับความแตกต่างในสังคมและสร้างความตื่นตัวเรื่องความท้าทายต่าง ๆ ที่เด็กผู้หญิงในประเทศไทยกำลังเผชิญ
โดยเหล่าผู้บริหารของแอสตร้าเซนเนก้าได้เปิดโอกาสให้เด็กผู้หญิงในกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ ได้ลองสวมบทบาทผู้บริหารขององค์กรเป็นเวลาหนึ่งวัน ภายใต้ธีม ผู้นำหญิงในแวดวงวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม เทคโนโลยี และการพัฒนา (Leading Women in Science, Innovation, Technology and Development) เพื่อมอบประสบการณ์ แลกเปลี่ยนมุมมอง พร้อมพัฒนาศักยภาพของเด็กผู้หญิงเพื่อให้มีแนวทางในการก้าวไปเป็นผู้บริหารหญิง และสร้างความเสมอภาคระหว่างเพศในสังคมต่อไป