กรณีนายธนา (นามสมมติ) ช่างภาพรายหนึ่ง โพสต์เฟซบุ๊กเล่าเหตุการณ์ว่า หลังจากรับงานถ่ายภาพและงานออร์แกไนซ์พิธีแต่งงานแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ต.ทรงธรรม อ.เมือง จ.กำแพงเพชร แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมย เนื่องจากเงินสินสอดมูลค่า 1 ล้านบาทได้หายไป ทำให้ญาติ ๆ ของคู่บ่าวสาวสงสัยว่าเป็นหัวขโมย กระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกสอบปากคำผู้ต้องสงสัยทั้งหมดที่ใกล้ชิดกับเงินก่อนจะหายไป
กระทั่งวันที่ 30 มี.ค. 65 ช่วงเย็น ๆ พ.ต.อ.เอนก จันทร์ศร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชร ให้ข้อมูลว่า จากการเค้นสอบปากคำทางโทรศัพท์กับเจ้าสาวและเจ้าบ่าว จนเจ้าบ่าวทราบชื่อ นางสาวแพรม ชาวจ.เชียงใหม่ ให้การสารภาพว่า เป็นผู้นำเงินดังกล่าวออกไปจากห้องนอนที่แม่เจ้าสาวเอาเงินไปเก็บ โดยที่ไม่ได้บอกนางสาวน้ำ (นามสมมติ) เจ้าสาว และคนอื่น ๆ พร้อมกับยอมรับว่าเงินสินสอดเป็นเงินที่เช่ามา
ล่าสุดวันที่ 31 มี.ค. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี รายงานว่าเวลา 09.00 น. คู่บ่าวสาวดังกล่าวเดินทางจาก จ.สระแก้ว เพิ่อมายัง สภ.ทรงธรรม จ.กำแพงเพชร เนื่องจากตำรวจเรียกสอบปากคำเพิ่มเติม และมีพ่อแม่ของเจ้าสาว เดินทางมาสังเกตการณ์ด้วย
พ.ต.อ.เอนก ให้สัมภาษณ์ว่า จากการสอบปากคำตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมง คือ 09.00-10.00 น. คำให้การของทั้งคู่ สอดคล้องกันในวันที่ 25 มีนาคม 65 เวลาประมาณ 10.30 น. นางสาวแพรม เจ้าบ่าว มอบสินสอดเป็นเงินจำนวน 1 ล้านบาทให้พ่อของนางสาวน้ำ เพื่อสู่ขอตามประเพณี แต่เงินสินสอดนั้นเป็นเงินที่นางสาวแพรม เช่ามาจากร้านบริการเช่าสินสอดออนไลน์ ในอัตราค่าบริการ 40,000 บาท ซึ่งติดต่อขอเช่าก่อนหน้าที่จะจัดงานแต่งไม่กี่วัน ด้วยการค้นหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์ไปขอเช่า
ในวันงานแต่ง (25 มีนาคม 65) ช่วงหัวรุ่งทางร้านก็ส่งตัวแทน 1 คน มาจากกรุงเทพฯ เพื่อนำเงินมามอบให้กับเจ้าบ่าว โดยเจ้าบ่าวใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของตัวเองและเจ้าสาว เป็นเอกสารเช่า แต่เจ้าสาวไม่มีส่วนรู้เห็นกับการเช่าสินสอดในครั้งนี้ หลังจากที่แม่ของเจ้าสาวรับสินสอดก็ไม่ได้แกะเงินออกมานับเหมือนกับงานแต่งทั่วไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติของก้อนเงินที่อยู่ในภาพ ที่มีลักษณะห่อหุ้มด้วยพลาสติกอย่างแน่นตั้งแต่แรก ว่าคล้ายกับเงินที่เช่ามา
จากนั้น นางสาวแพรม ก็ใช้ช่วงเวลาบ่าย ๆ ที่ทุกคนกำลังชุลมุนกับงานเลี้ยงที่ชั้น 1 ขึ้นไปใช้กุญแจซึ่งมีอยู่แล้วที่ตัว ไขประตูและนำเงินสินสอดไปโดยไม่ได้บอกใคร ก่อนจะส่งคืนให้กับตัวแทนของร้านเช่าสินสอดที่รออยู่ภายในงาน ซึ่งเข้ามาในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าว เมื่อตัวแทนร้านได้รับเงินคืนก็ถือเป็นอันหมดหน้าที่ของเงินสินสอด 1 ล้านบาท ตัวแทนก็นำเงินเดินทางกลับกรุงเทพฯ ทันที ทำให้เมื่อแม่เจ้าสาวที่ขึ้นไปบนห้องนอนเก็บเงินชั้น 2 เห็นว่าเงินหายไปแล้ว จึงตกใจและรีบแจ้งตำรวจ
ต่อมาแม่เจ้าสาวไม่พอใจที่เงินหาย คิดว่ามีการขโมยเกิดขึ้น จึงถามกับทีมช่างภาพด้วยน้ำเสียงเชิงตะคอก จนช่างภาพอย่างนายธนา (นามสมมติ) ต้องออกมาโพสต์เตือนภัย และกลายเป็นข่าวดังกล่าว โดยที่นางสาวแพรม ไม่ยอมออกมาพูดความจริงตั้งแต่แรก เพราะอับอายครอบครัวเจ้าสาวที่ต้องไปเช่าเงินมาเพื่อสู่ขอฝ่ายหญิง ประกอบกับเห็นว่าเป็นคดีความไปแล้วด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนของคดีความนั้น เบื้องต้นตำรวจได้ดำเนินคดีกับนางสาวแพรม ในข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถาน เนื่องจากให้การสารภาพและยินดีที่จะรับผิด และพ่อแม่ของเจ้าสาวก็ประสงค์ที่จะดำเนินคดีกับนางสาวแพรม เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1437 เงินสินสอดเป็นการให้ตามสัญญาต่างตอบแทน และทรัพย์ที่เป็นสินสอดนั้นเมื่อเจ้าบ่าวได้ส่งมอบไปแล้ว ย่อมถือเป็นสิทธิเด็ดขาดของฝ่ายหญิงทันทีโดยไม่ต้องรอให้มีการสมรสกันก่อน ดังนั้น การที่เจ้าบ่าวแอบเอาเงินออกไป ผู้เสียหายคือพ่อแม่ของเจ้าสาว ซึ่งไม่รู้ว่าเจ้าบ่าวไปเช่าสินสอดมา
ส่วนนางสาวน้ำ เจ้าสาว กล่าวยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าไม่มีส่วนรู้เห็นตั้งแต่การเช่าสินสอด และการเอาเงินออกจากห้องนอน ประกอบกับพ่อแม่ของเจ้าสาวที่เดินทางมาให้ปากคำในวันนี้ ก็ยืนยันเช่นเดียวกันว่าลูกสาวไม่ผิด และจะไม่ขอดำเนินคดีกับลูกสาว เพราะฉะนั้น นายธนา, นายขาว (นามสมมติ) ช่างภาพทั้ง 2 คน และนายนก (นามสมมติ) ออร์แกไนซ์ ก็จะพ้นข้อครหาทุกประการ ทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ เนื่องจากไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ
"ถามว่าทั้ง 3 คนฟ้องกลับได้หรือไม่นั้น ก็สามารถทำได้ เนื่องจากแม่เจ้าสาวพูดตามที่ช่างภาพโพสต์จริงก็ถือเป็นการทำให้เสียชื่อเสียง อับอาย แต่ก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่มี ว่าจะเพียงพอและเป็นไปในทิศทางทางไหน ดังนั้นส่วนตัวอยากแนะนำว่าให้ไกล่เกลี่ย และขอโทษกัน เพราะการต่อรองและเป็นคดีความกันไปมาไม่ใช่เรื่องดี และด้านของพ่อแม่ฝั่งเจ้าสาวได้ยื่นคำขาดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าให้ลูกสาวเลิกรากับนางสาวแพรม โดยสิ้นเชิง นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป" พ.ต.อ.เอนก กล่าวทิ้งท้าย
นอกจากนี้ ในช่วงหนึ่งของการสอบปากคำ ตำรวจได้มีการย้าย นางสาวแพรม เจ้าบ่าว จากห้องสืบสวนไปยังห้องสอบสวน เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม ก่อนจะคุมตัวส่งฟ้องศาลจังหวัดกำแพงเพชร ในวันพรุ่งนี้ (1 เมษายน 65) ในระหว่างนั้นทีมข่าวพยายามถามว่าอยากชี้แจงอะไรบ้าง เพราะขณะนี้กลายเป็นผู้ต้องหาข้อหาลักทรัพย์ฯ แต่นางสาวแพรม ได้แต่เงียบและไม่ตอบคำถามสื่อมวลชน
พี่ชายของฝ่ายเจ้าสาว กล่าวยืนยันว่า จากการพูดคุยกับนางสาวน้ำ น้องสาวไม่รับรู้จริง ๆ ว่า เจ้าบ่าวไปเช่าสินสอดและเป็นคนนำเงิน 1 ล้านบาทออกจากห้องไป ขณะนี้ครอบครัวเครียดและอับอายมาก ๆ จึงไม่พร้อมจะออกมาเจอสื่อมวลชน ส่วนเรื่องของคดีความก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ และนางสาวแพรม ฝ่ายเจ้าบ่าว จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่กระทำลงไป
"ถ้าถามถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ณ ตอนนี้จะเลิกหรือไม่ ผมไม่รู้ คงต้องขึ้นอยู่กับการพูดคุยของทั้ง 2 คน แต่ที่แน่ ๆคือพ่อแม่ไม่อนุญาติให้ นางสาวแพรม เข้าบ้านอีกเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ เพราะสิ่งที่เขาทำมันสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้พ่อแม่เสียหน้ามาก โดยเฉพาะเจ้าสาวเองที่มีตำแหน่งถึงผู้อำนวยการของสถานการศึกษาด้วย" พี่ชายของเจ้าสาว กล่าว
ส่วนตัวยอมรับว่า นางสาวแพรม ถือเป็นแฟนคนแรกของน้องสาวตน ที่ผ่านมาตนไม่เคยเห็นว่าน้องสาว มีแฟนมาก่อน ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่คบกันมา ตนเห็นว่าน่ารักดี พากันกลับมาบ้านเดือนละ 1-2 ครั้ง ไม่มีวี่แววว่าจะกลายเป็นขโมยหรือมีพฤติกรรมเช่นนี้ แล้วก่อนที่จะมีงานแต่ง นางสาวแพรม ก็มีการพูดคุยกับแม่เจ้าสาวเรื่องสินสอดที่บ้านงานแล้ว โดยแม่เจ้าสาวเป็นคนเรียก 1 ล้านบาท แต่การเรียกครั้งนั้นถือว่าเป็นการเรียกผ่าน ๆ ไม่คิดว่านางสาวแพรม จะนำสินสอด 1 ล้านบาทมาจริงในวันแต่งงาน
ทั้งนี้ สิ่งที่ตนอยากจะเป็นตัวแทนครอบครัว จึงฝากบอกไปยังนางสาวแพรมว่า “ทำอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบ เมื่อทำไปแล้วผลออกมายังไงก็ต้องยอมรับมัน และจะขอให้ตำรวจดำเนินคดีจนถึงที่สุด” ส่วนกับช่างภาพและทีมงานรวม 3 คน ตนก็อยากจะกล่าวคำขอโทษแทนพ่อแม่เจ้าสาว และอยากให้เข้าใจว่าทั้งคู่อาจจะมีน้ำเสียงการพูดที่รุนแรง เพราะอยู่ในอารมณ์โมโหและเข้าใจผิด
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายธนา (นามสมมติ) ช่างภาพ เปิดเผยว่า หลังมีข่าวออกไป ทางครอบครัวฝั่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่ได้ติดต่อมาขอโทษแต่อย่างใด ส่วนตัวก็มั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเองตั้งแต่แรก และตอนนี้ก็สบายใจมากขึ้น ตนไม่รู้มาก่อนว่าสินสอดจำนวน 1 ล้านบาทเป็นเงินที่ถูกเช่ามา แต่ตนยอมรับว่ารู้สึกขัดใจที่เงินถูกห่อด้วยพลาสติกจนแน่น ทำให้ถ่ายภาพออกมาไม่ค่อยสวยเท่าที่คิดไว้ แต่ขณะนั้นก็ไม่ได้สอบถามเจ้าภาพ
ในช่วงที่ตนถูกเรียกไปสอบปากคำ ก็มีแค่แม่เจ้าสาวที่เข้ามาต่อว่า เพราะคิดว่าตนเป็นคนขโมยเงิน ส่วนเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวไม่เข้ามาคุยกับตนแต่อย่างใด ตอนนั้นยอมรับว่าสงสัยเจ้าภาพว่าทำเงินหายไปได้อย่างไร และคิดว่าน่าจะเป็นแขกที่มาร่วมงานหรือไม่ เมื่อตนทราบเรื่องว่าเจ้าบ่าวเป็นผู้เอาเงินไปเอง เพราะต้องนำไปคืนร้านเช่า ตอนแรกก็โกรธมาก ๆ คิดว่าอีกฝ่ายรู้อยู่แก่ใจ ก็น่าจะคุยกันเองในครอบครัวก่อน จะได้ไม่เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ และทำไมปล่อยให้ตนตกเป็นจำเลยสังคมแบบนี้ ตนมองว่าสาเหตุที่เขาไม่กล้าบอกก็อาจจะอับอาย เพราะจัดงานใหญ่โต มีหน้ามีตาในสังคม
"ตอนนี้ไม่โกรธแล้ว คิดว่าอีกฝ่ายก็ได้รับผลที่เกิดขึ้น และผมก็ยังมองว่าอีกฝ่ายเป็นลูกค้า ยังแต่งรูปให้เหมือนกับลูกค้าคนอื่น ๆ ไม่ได้มีอคติ และจะส่งงานให้ตามปกติ ช่วงที่เกิดเหตุผมก็ได้รับผลกระทบ ลูกค้าที่ทักมาถามงานก็เงียบไป เพราะไม่มั่นใจว่าผมเป็นขโมยจริงหรือไม่ แต่ก็มีบางกลุ่มที่ทักมาให้กำลังใจ จึงอยากฝากถึงช่างภาพด้วยกันให้ระมัดระวังตัวเอง อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินมีค่าของเจ้าภาพ ส่วนเจ้าภาพเองก็ควรให้เกียรติช่างภาพด้วย เพราะพวกผทก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด" ช่างภาพ กล่าวให้ฟัง