กรณีเฟซบุ๊กแฟนเพจ “ห้วยแถลง” โพสต์เรื่องราว ระบุว่า วัยรุ่น 2 คน ถูกลูกชายกำนันคนดัง ในตำบลเมืองพลับพลา จังหวัดนครราชสีมา บุกเข้ามาชกต่อยทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ขณะนั่งตั้งกินเหล้าอยู่หน้าบ้าน และถูกกำนันซึ่งเป็นพ่อตามเข้ามาใช้ไม้ฟาดที่ศีรษะของทั้ง 2 วัยรุ่นจนได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์เกิดขึ้นที่หมู่บ้านคอกควาย ต.เมืองพลับพลา อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา
ทั้งนี้ ภายหลังเกิดเหตุ กำนันคนดังกล่าว อ้างว่าต้องการเข้าไประงับเหตุเท่านั้น เนื่องจากได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีกลุ่มวัยรุ่นตั้งวงกินเหล้าและทะเลาะวิวาทกันเสียงดัง จึงได้เดินทางไปกับลูกชายเพื่อเข้าไประงับเหตุ โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วง 21.00 น. ของวันที่ 8 มีนาคม 65 ซึ่งฝั่งวัยรุ่น 2 คนที่บาดเจ็บทราบชื่อ นายบุตรดี สุพรนิช หรือ พาร์ม อายุ 22 ปี ถูกกำนันใช้ไม้ตีเข้าที่ศีรษะเย็บรวม 10 เข็ม ส่วนนายกิตติกร ตราบุรี หรือ เบิร์ด อายุ 19 ปี ถูกไม้ตีบริเวณหน้าผากได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
นอกจากนี้ ผู้บาดเจ็บทั้ง 2 คน ยังได้เดินทางเข้าไปแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองพลับพลา ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 65 แต่ตำรวจกลับไม่รับแจ้งความ และเรื่องค่อย ๆ เงียบหายไป จึงกลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทั่งวันที่ 24 มีนาคม 65 เจ้าไปเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองพลับพลา อีกครั้ง ตำรวจจึงรับแจ้งความ อย่างไรก็ตาม มีรายงานแจ้งว่าทั้งคู่ถูกแจ้งความกลับด้วย ฐานขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน ทำให้ตกใจและงงว่าผิดอะไร
ล่าสุดวันที่ 3 เม.ย. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปพบกับ นายกิตติกร ผู้บาดเจ็บ เล่าให้ฟังว่า ในคืนวันที่ 8 มีนาคม 65 พวกตนนั่งดื่มเหล้ากับเพื่อน 3-4 คนอยู่หน้าบ้านของพี่สาว ระหว่างนั้นก็หยอกล้อเล่นกับเพื่อนชื่อ นายเติ้ล และเกิดการชกต่อยกัน จากนั้นมีชาวบ้านโทรศัพท์ไปแจ้งให้กำนันคนดังกล่าวเข้ามาระงับเหตุ เมื่อกำนันมาถึงก็เดินมาพร้อมกับภรรยา และนายคาวี อายุ 32 ปี ลูกชาย รวมถึงหลานชายกำนันอีก 1 คน ชื่อว่า นายเบิร์ด
โดยระหว่างระงับเหตุ นายคาวี ได้มีปากเสียงทะเลาะกับนายเติ้ล เพราะนายเติ้ล ไปพูดจาไม่ดีใส่กำนันประมาณว่า “ยุ่งอะไรด้วย” ตนและเพื่อน ๆ จึงส่งนายเติ้ลกลับบ้าน และคิดว่าเรื่องจบหมดแล้ว กระทั่งผ่านไปครูหนึ่งตนนั่งกินเหล้ากับนายพาร์มที่เดิม เพราะคิดว่าเรื่องจบแล้ว แต่ในระหว่างนั้น นายคาวี ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาหาพวกตนอีกครั้ง ตนจึงเอ่ยปากถามว่า “พี่คาวี พี่ตีไอเติ้ลเหรอ” นายคาวี ตอบกลับว่า “ใช่ กูตีมันเอง” จากนั้นนายคาวี ก็เข้ามาบีบคอและชกต่อยตน ขณะนั้นตนก็รู้สึกงง ๆ ว่าเขาต่อยตนเรื่องอะไร แต่ตนก็ได้ต่อสู้สวนกลับไป
จากนั้น นายพาร์ม เพื่อนรุ่นพี่ที่นั่งกินเหล้าอยู่ด้วยกันเห็นท่าไม่ดี จึงพยายามเข้าไปห้าม แต่ก็ถูกนายคาวี เข้ามาชกต่อยเช่นกัน ในระหว่างนั้น พ่อของนายคาวี ได้ตามเข้ามาสมทบทีหลัง และเห็นว่าพวกตนกำลังต่อสู้กับนายคาวี จึงได้ใช้ท่อนไม้ไล่ทุบและฟาดเข้าที่ศีรษะของตนและนายพาร์ม จึงได้รับบาดเจ็บต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอด
นายบุตรดี สุพรนิช ผู้บาดเจ็บอีกราย กล่าวว่า ตนได้รับบาดเจ็บคิ้วขวาแตก เย็บ 5 เข็ม และศีรษะแตกเย็บอีก 5 เข็ม หลังเกิดเหตุกำนันไม่เคยมาขอโทษ หรือรับผิดชอบอะไรเลย อ้างแต่ว่าเป็นเพียงการระงับเหตุ ซึ่งตนมองว่ารุนแรงเกินไป การระงับเหตุทำไมต้องใช้ไม้ฟาดศีรษะกันด้วย นอกจากนี้ หลังเกิดเหตุตำรวจกลับไม่รับแจ้งความ และเรื่องเงียบหาย พวกตัวต้องไปร้องเรียนผ่านเพจ และตำรวจเพิ่งจะรับแจ้งความในวันที่ 24 มีนาคม 65 ที่ผ่านมา พวกตนจึงอยากขอความเป็นธรรม เพราะเชื่อว่าสิ่งที่กำนันทำนั้น ไม่ใช่การระงับเหตุ แต่กำนันกำลังช่วยเหลือลูกชายตัวเองมากกว่า อย่างไรก็ตาม ตนเพิ่งทราบว่า ถูกกำนันแจ้งความกลับข้อหาขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน ตนอยากถามว่าทำไมต้องกลั่นแกล้งกันด้วย
ทีมข่าวได้พบกับภรรยาของกำนันคนดังกล่าว ให้ข้อมูลว่า กำนันไม่อยู่บ้าน ส่วนเรื่องที่อีกฝ่ายกล่าวหา ไม่เป็นความจริง สามีของตนตั้งใจจะไประงับเหตุให้ลูกชายเท่านั้น แต่ถูกกลุ่มวัยรุ่นเข้ามาจะทำร้ายเสียก่อน จึงจำเป็นต้องป้องกันตัว ส่วนสาเหตุที่ต้องใช้ไม้ตีศีรษะวัยรุ่นจนบาดเจ็บนั้น เพราะในช่วงเวลานั้นมืด แสงไฟไม่ค่อยมีเพียงพอ สามีเพียงแค่แกว่งไม้ป้องกันตัวเอง และพยายามจะระงับเหตุเท่านั้น
นอกจากนี้ ทีมข่าวเดินทางไปที่ สภ.เมืองพลับพลา สอบถามพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ระบุว่า ในวันที่ 8 มีนาคม 65 ผู้เสียหายเดินทางมาแจ้งความ ตนได้รับเรื่องแจ้งความไว้แล้ว ไม่เคยปฏิเสธการรับแจ้งความแต่อย่างใด คาดว่าฝ่ายผู้บาดเจ็บน่าจะเข้าใจผิดมากกว่า เนื่องจากไม่ได้รับสำเนาใบแจ้งความกลับไป เพราะฝ่ายผู้บาดเจ็บไม่มีการร้องขอ ตนยืนยันว่าได้รับเป็นคดีตั้งแต่ 8 มีนาคม 65 เรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องที่ตำรวจมีการแจ้งข้อหาผู้บาดเจ็บ ฐานขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน ฝ่ายกำนันได้เดินทางเข้ามาแจ้งความเอาผิดจริง ซึ่งตนมีหน้าที่รับแจ้งความไว้เท่านั้น จะผิดหรือไม่ผิดก็ขึ้นอยู่กับศาลจะตัดสิน ส่วนคดีการทำร้ายร่างกายตนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ หรือล่าช้า เพียงแต่ฝ่ายผู้บาดเจ็บอยู่ระหว่างช่วงกักตัวโควิด และรอผลตรวจจากแพทย์ จึงยังไม่ได้เรียกเข้ามาสอบปากคำ