กรณีทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก เวลา 09.30 น. ระบุว่า "เวลา 15.00 น. แซนจะเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน และวันนี้อาจมีข่าวดีเพิ่มเติมว่าใครจะถูกดำเนินคดีเป็นรายต่อไป “เชื่อผมแก๊งสปีดโบ๊ตบนเรือ 5 คนไม่รอด / ถูกดำเนินคดีทั้งหมด #ทนายเดชาผู้มาก่อนกาล"
ล่าสุดวันที่ 3 เม.ย. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี สัมภาษณ์ทนายเดชา ทนายความนางภนิดา ศิระยุทธโยธิน แม่ของเเตงโม กล่าวว่า สำหรับกุนซือ หรือคนเขียนสคริปต์ ที่กำลังถูกกล่าวถึงอยู่ในขณะนี้ เป็นคนในวงการนักกฎหมาย มีการให้คำเเนะนำคนบนเรือ ให้เข้าพบตำรวจช้า ๆ เพื่อให้ปริมาณเเอลกอฮอร์หรือสารเสพติดในร่างกายหมดไป เเละเอาทั้ง 5 คน มานั่งพร้อมกันเพื่อซ้อมพยาน เป็นการเตี๊ยมให้พูดเหมือนกัน ซึ่งตำรวจได้รับข้อมูลในทางลับ ว่ามีการบิดเบือนความจริง ให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวน ดังนั้นคนที่ให้การเเนะนำจะโดนดำเนินคดีใน 2 ข้อหา ได้แก่
1. จ้างวานใช้ให้ผู้อื่นเเจ้งความเท็จเกี่ยวกับคดีอาญา ผิดไปจากข้อเท็จจริงต่อเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 มีโทษจำคุก 2 ปี
2. จ้างวานใช้ให้ทำลายพยานหลักฐาน เพื่อช่วยเหลือบุคคลอื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 มีโทษจำคุก 5 ปี
ส่วนกรณีทนายตั้ม ออกมาเคลื่อนไหว ตนก็มีการพูดคุยกันตลอด เเละได้สอบถามทนายตั้มเเล้ว ว่าเป็นกุนซือหรือไม่ ทนายตั้ม ตอบว่า "ไม่ได้เป็น" เเละตนก็ไม่เคยพูดหรือกล่าวหาว่าทนายตั้ม เป็นกุนซือด้วย ส่วนคนให้คำเเนะนำจะเป็นใคร รอติดตามสัปดาห์หน้า เพราะตนเชื่อว่าตำรวจมีข้อมูลแล้ว
ทนายเดชา กล่าวถึงข้อสันนิษฐานของนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม รวมถึง "โปรดิวเซอร์ยุง" ผู้เชี่ยวชาญด้านภาพ ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า สาวเเตงโมพลัดตกบริเวณหัวเรือ เพราะภาพวงจรปิดจากท่าเรือเอกชน พบมีเงาดำคนยืนอยู่หัวเรือ ว่าไม่เป็นความจริง เพราะตนได้รับข้อมูลจากตำรวจ ทราบว่าสาวเเตงโม ไม่ได้พลัดตกหัวเรือเเน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนจะพลัดตกที่ท้ายเรือหรือไม่ มีความเป็นไปได้สูง ดังนั้น ตนจึงรู้สึกเป็นห่วงนายอัจฉริยะ เนื่องจากมีคดีเก่าหลายคดี ตนมองว่าไม่น่าจะไปเเจ้งความในเรื่องนี้ เพราะข้อมูลของนายอัจฉริยะ ไม่เป็นความจริง
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม กล่าวว่า หลายคนออกมาตั้งข้อสงสัยว่าคนที่เป็นกุนซือให้กับทั้ง 5 คนบนเรือ ตนยืนยันว่าไม่ใช่ตนอย่างแน่นอน 1,000 เปอร์เซ็นต์ เพราะตนไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องช่วยหรือวางแผน และที่สำคัญคนบนเรือบอกตนตั้งแต่ครั้งแรกว่าพวกเขามีทนายความอยู่แล้ว เพียงแค่ขอความคิดเห็นจากตนในฐานะผู้มีความรู้ด้านกฎหมาย และเป็นผู้มีประสบการณ์
"ผมไม่ได้ตกใจอะไร ไม่ติดใจ เพราะอย่างแรกคือไม่จริง และอย่างที่ 2 คือไม่ว่าจะคดีไหน เรื่องดีหรือไม่ดี ผมก็จะถูกเอาชื่อเข้าไปกล่าวถึงตลอด เนื่องจากในวงการสื่อจะมีทนายความที่มีชื่อเสียงแค่ไม่กี่คน แต่ผมยอมรับว่ามีบางครั้งที่รู้สึกไม่ชอบ เมื่อไปเห็นคนนำชื่อตัวเองไปเขียนพาดพิงให้ถูกโจมตี ทั้ง ๆ ที่ผมพยายามต่อสู้เพื่อน้องแตงโมมาโดยตลอด และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากผมมีหลักฐานสำคัญก็จะยังคงเดินหน้าต่อสู้ต่อ" ทนายตั้ม กล่าวยืนยัน
อย่างไรก็ตาม หากถามตนว่ากุนซือตัวจริงเป็นใคร ตนยอมรับตามตรงว่าไม่รู้จริง ๆ แต่เท่าที่ได้ยินมารู้แค่ว่ามี 2 คน เป็นทนายความ 1 คน และเป็นทนายไม่ได้ดังมาก ไม่เคยเห็นว่าจะทำคดีให้กับคนมีชื่อเสียง หรือหากเคยทำก็อาจจะทำเงียบ ๆ ตนไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว คนที่ 2 ตำแหน่งสูงกว่านั้นระดับผู้พิพากษา ซึ่งคนนี้ตนก็ไม่รู้รายละเอียดลึก ๆ จึงไม่อยากจะบอกใบ้ตัวอักษรย่อ เพราะกลัวจะเดาพลาด
ส่วนประเด็นที่ว่าศาลไม่อนุมัติหมายจับ “จ๊อบ” และ “กระติก” แต่เปลี่ยนให้รอหมายเรียกแทนนั้น ตนมองว่าอาจจะเป็นเพราะอัตราโทษเกี่ยวกับ “ให้การเท็จ” คือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือ งจำทั้งปรับ ไม่มากพอที่จะสามารถออกหมายจับได้ เพราะถ้าจะขอศาลฯออกหมายจับ ต้องมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป และอีกกรณีคือการที่จะสามารถออกหมายจับได้ “จ๊อบ” กับ “กระติก” ไม่มาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจตามหมายเรียกครบ 2 ครั้งก่อน ถึงตอนนั้นก็สามารถออกหมายจับโดยอัตโนมัติ
ทนายตั้ม ให้ข้อมูลอีกว่า กรณีที่จะเข้าข่ายความผิดฐานซ่องโจร คือ ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดทางกฎหมาย และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป เช่น หลังเกิดเหตุทั้ง 5 คนไปประชุมหารือทำลายพยานหลักฐาน หรือความผิดอาญาอื่น พร้อมมีหลักฐานยืนยัน ผู้นั้นถือว่ากระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้น หลักฐานทั้งหมดตนเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมไว้หมดแล้ว และคนเดียวที่จะสามารถตอบได้ว่าพฤติกรรมของทั้ง 5 คนนั้นเข้าข่าบฐานความผิดซ่องโจรหรือไม่ ก็คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ