กรณีเมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. ของวันที่ 8 เม.ย. 65 ร้อยตำรวจเอกสุวิทย์ มูลทรงเกียรติ รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร ได้รับแจ้งมีเหตุยิงกันตายภาย ในซอยตรงข้ามกับโรงเรียนบ้านบางปิ้ง หมู่ที่ 1 ต.นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร มีผู้เสียชีวิต 3 ราย
ที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิตจำนวน 3 ราย เป็นชาย 2 ราย และหญิง 1 ราย จากการตรวจตรวจทราบว่าผู้ตายทั้ง 3 ราย ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด .380 เข้าที่ศีรษะนอนจมกองเลือดอยู่หน้าห้องเช่า และกลางถนน พบปลอกกระสุนปืนประมาณ 11 ปลอก
ผู้เสียชีวิตรายแรกคือ นายพะยอม พลายจันทร์ 63 ปี เจ้าของห้องเช่า รายที่ 2 ทราบชื่อ นายสาธิต เพชรบูชา 58 ปี และรายที่ 3 นางศรีเวียง เพชรบูชา อายุ 62 ปี ส่วนมือปืนคาดว่าน่าจะเป็นคนในละแวกเดียวกัน ที่เคยมีเรื่องบาดหมางกับสองสามีภรรยาที่เสียชีวิตมีเรื่องกับมือปืนกันมานานแล้ว โดยนายพะยอมเป็นเจ้าของห้องเช่า ได้เข้ามาห้ามขณะที่ทั้ง 2 ฝ่ายกำลังทะเลาะกัน จึงทำให้ถูกยิงเสียชีวิตไปด้วย หลังก่อเหตุมือปืนได้ขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปออกรวดเร็ว ทราบชื่อคือ นายสำราญ แก้วหัก
ทีมข่าวได้กล้องวงจรปิดบริเวณ ปากซอยจุดเกิดเหตุ ซึ่งเยื้องกันเล็กน้อย โดย เวลา 11.37 น. กล้องวงจรปิด 4 มุม จับภาพมือปืนขี่รถจักรยานยนต์สีขาว ออกมาจากจุดเกิดเหตุ ก่อนขี่ผ่านกล้องไป
นางสมใจ รักท้วม เพื่อนของนางศรีเวียง ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองขี่รถจักรยานยนต์ไปพร้อมกับนางศรีเวียง โดยตนเองเป็นคนขับ เพื่อไปแจกทรายป้องกันลูกน้ำยุงลาย โดยไปเริ่มแจกที่ท้ายซอยที่เกิดเหตุ ก่อนที่จะไปแจกนายพยอมด้วย ตอนนั้นทุกอย่างปกติ
กระทั่ง ตนเองกำลังจะขี่รถจักรยานยนต์ออกจากซอย มาถึงช่วงกลางซอย ตนเองเห็นผู้ก่อเหตุเดินออกมาจากบ้านพร้อมอาวุธปืน มาอยู่ในระยะประชิดกับนางศรีเวียง โดยไม่ได้พูดอะไร ตนเองคิดว่าหยอกล้อเล่นกัน คิดว่าเป็นปืนปลอม เพราะเห็นเป็นคนในซอยเดียวกัน จนตนเองขี่รถจักรยานยนต์ไปจอดที่หน้าบ้านของนางศรีเวียง เพื่อที่จะให้นางศรีเวียงกลับบ้าน แต่หันไปเห็นนางศรีเวียงนอนหงายอยู่ที่พื้นแล้ว ตนเองจึงรีบวิ่งไปบอกนายสาธิตว่านางศรีเวียงถูกยิง ก่อนที่จะขี่รถจักรยานยนต์ออกมาหาผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเพื่อให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เมื่อกลับมาอีกครั้งก็ทราบว่านายสาธิตและนายพยอมถูกยิงเสียชีวิตแล้ว ตนเองยังตกใจจนถึงตอนนี้ เพราะภาพติดตา ที่ผ่านมาไม่ทราบปัญหาส่วนตัวมาก่อน และนายสำราญผู้ก่อเหตุ ตนเองก็ไม่รู้จักด้วย
นายชูชาติ พลายจันทร์ อายุ 60 ปี น้องชายผู้ตาย และผู้ใหญ่บ้าน กล่าวว่า พี่ชายตนเองนิสัยดี ไม่เคยมีปัญหากับใคร ซึ่งปกติจะอยู่เพียงคนเดียว โดยมีลูกชาย 2 คนและภรรยาอยู่ที่อื่น เปิดกิจการโรงงานน้ำดื่มและหอพัก โดยที่ผ่านมายืนยันว่าพี่ชายไม่เคยมีปัญหากับใครเพราะเป็นคนดี อดีตเคยเป็นสมาชิกเทศบาลตำบลนาดี
ส่วนสองสามีภรรยาที่เป็น อสม. ตนเองก็รู้จัก และนิสัยดีทั้งคู่ ไม่ทราบปมปัญหาขัดแย้ง ไม่มีลางบอกเหตุ ตนเองอยากให้คนก่อเหตุมามอบตัว
ขณะที่นายทอมมี่ (นามสมมติ) อายุ 42 ปี คนเห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ตนเองกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ชั้น 2 ของห้องเช่านายพะยอม ได้ยินเสียงปืนจึงออกมาดู พบนางศรีเวียง และนายสาธิต ถูกยิงเสียชีวิตแล้ว
จากนั้น เห็นนายพยอมเดินออกมา โดยที่ยังไม่ได้พูดอะไร คล้ายกับถือโทรศัพท์มือถือ มือปืนเห็นจึงยิงจนล้ม และจี่รถจักรยานยนต์กลับมาจ่อยิงซ้ำ โดยไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะหลบหนีไป นอกจากนี้ ตนเองอยู่ที่นี่มา 7 ปี รู้จักกับทุกคน โดยนางศรีเวียง และนายสาธิต รวมถึงนายพยอมเป็นคนดี มีน้ำใจ ไม่มีปัญหากับใคร รวมถึงนายสำราญตนเองก็ทักทายเป็นปกติทุกวัน เป็นคนอัธยาศัยดีเช่นกัน
ด้านนางสาวมุก ลูกสาวผู้ตาย อายุ 25 ปี เล่าว่า เมื่อเช้าพ่อยังไปส่งตนเองไปธุร ตามปกติ โดยไม่มีลางบอกเหตุใด ๆ เลย มาทราบอีกครั้งก็ร้องไห้ไม่ออก เพราะต้องเสียทั้งพ่อและแม่ไปพร้อมกัน ที่ผ่านมาพ่อแม่เป็นทุกอย่างสำหรับตนเอง และยังมีน้องชายที่ป่วยเป็นโรคไต ซึ่งปกติพ่อแม่จะเลี้ยงดู ตอนนี้ตนเองยังเคว้งคว้างพูดอะไรไม่ถูก
ตนเองทราบว่าพ่อและแม่มีปัญหากับบ้านของผู้ก่อเหตุมานานหลายปีแล้ว เป็นเรื่องมรดก และตัดขาดไม่คุยกันมานานหลายสิบปี ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เห็นมีปัญหากันอีก ไม่ทราบว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้บ้านของพี่ชายก็เคยถูกด่าทอ และถูกประชดประชันมา แต่เหตุการณ์นานแล้ว ไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้อง ตนเองยืนยันว่าต้องการจะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด ไม่ยอมแน่นอน เพราะตนเองสูญเสียครั้งใหญ่ หากไม่เป็นตนเอง คงไม่เข้าใจความรู้สึก
นายบอน (นามสมมติ) ลูกชายผู้ก่อเหตุ เล่าว่า แม่โทรศัพท์มาแจ้งข่าวโดยมีอาการเสียสติ ตนเองจึงรีบกลับมาที่บ้าน ตกใจมาก ไม่รู้จะพูดอย่างไร ส่วนปมปัญหาเป็นเรื่องมรดกเกี่ยวกับที่ดิน ระหว่างพ่อแม่ตนเองกับนายสาธิต และนางศรีเวียง ซึ่งมีปัญหามานานกว่า 20 ปีแล้ว ทำให้ครอบครัวตนเอง และครอบครัวของผู้ตายไม่พูดคุยกันเลย ก่อนหน้านี้เคยมีปัญหาถูกครอบครัวผู้ตายขับรถจนฝุ่นฟุ้งใส่ตัว แต่ก็นานมาแล้ว ไม่ทราบปมเหตุในวันนี้ แต่ยอมรับว่าพ่อตนเองผิดจริง
ที่ผ่านมาพ่อเป็นคนนิ่งเงียบ ไม่ค่อยพูด ไม่เคยมาเล่าปัญหาอะไรให้ฟัง ตอนนี้ติดต่อพ่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าพ่อไปไหน เพราะพ่อกับแม่ใช้โทรศัพท์เครื่องเดียวกัน โดยเมื่อวานนี้ยังได้คุยกับพ่อ นัดว่าวันพรุ่งนี้จะมารับประทานอาหารด้วยกัน แต่มาเกิดเรื่องก่อน ส่วนเรื่องอาวุธปืนทราบว่าพ่อมีมานานแล้วถูกต้องตามกฎหมาย